เมื่อวันที่ (14มิ.ย.61) บัณฑิตคณะคุรุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา รวมตัวยื่นหนังสือถึงเลขาธิการคุรุสภา หลังประสบปัญหาเรียนจบแล้วไม่สามารถประกอบวิชาชีพได้ เพราะ หลักสูตรที่เรียนมาไม่ได้รับการรับรอง
น.ส.กรวรรณ ทองแก้ว หนึ่งในตัวแทนบัณฑิต ระบุว่า รับทราบจากทางมหาวิทยาลัยเมื่อปี 2557 คณบดีในขณะนั้นแจ้งว่าเป็นความเข้าใจผิดระหว่างมหาวิทยาลัย สกอ. และคุรุสภา พร้อมระบุว่านักศึกษาไม่ต้องกังวลเนื่องจากสามารถนำเอกสารการเรียนจบไปเทียบขอใบอนุญาตสอนได้ จากนั้นให้นำใบอนุญาตการสอนไปฝึกสอน เมื่อครบ 1 ปีสามารถนำชั่วโมงการสอนไปขอเปลี่ยนเป็นใบประกอบวิชาชีพได้
แต่หลังเรียนจบพบว่าไม่เป็นเช่นนั้น เพราะแนวทางนี้ทับซ้อนกับประกาศของคุรุสภาที่ระบุว่า 3ต.ค.2561ผู้ประกอบวิชาชีพครูทุกคนต้องมีใบอนุญาตการสอนถึงจะสามารถทำการสอนได้ ซึ่งเท่ากับว่า บัณฑิตกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบทันที ซึ่งการเดินทางมายื่นหนังสือครั้งนี้ ทั้งหมดหวังว่าคุรุสภาจะขยายเวลาการยื่นขอใบประกอบวิชาชีพครู จาก3 ต.ค. 2561 ออกไปก่อน เพื่อให้มีระยะเวลาฝึกสอนให้ครบ1ปีตามแนวทางเดิม
ด้านนายสมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคุรุสภา ระบุว่า ก่อนหน้านี้เคยเยียวยาบัณฑิตของมหาวิทยาลัยนี้ไปแล้ว2รุ่น ที่มีปัญหาเดียวกัน แต่กลับพบว่า มหาวิทยาลัยกลับเปิดสอนเพิ่มในรุ่นรหัสปี 56 หรือรุ่นที่เป็นปัญหาในปัจจุบัน หลังจากนี้จะนำเรื่องเสนอให้กรรมการคุรุสภารับทราบ เพื่อขอมติเห็นชอบให้ขยายเวลาตามที่บัณฑิตร้องขอ คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ เพราะ หลักสูตรที่บัณฑิตเรียนมาไม่ต่างจากหลักสูตรภาคปกติ เพียงแต่ถูกนำมาจัดเป็นภาคพิเศษ
สำหรับคุรุศาสตร์ ภาคการศึกษาเพื่อปวงชน ของมหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา เป็นหลักสูตรภาคพิเศษที่ บัณฑิตที่ได้รับผลกระทบอ้างว่าเนื้อหาที่สอนไม่ต่างจากภาคปกติ แต่กำหนดให้เรียนปีละ 3 ภาคเรียน และต้องจ่ายค่าเรียน ภาคเรียนละ 7,000 บาท ทำให้ ตลอดหลักสูตรการเรียนการสอน นักศึกษาหนึ่งคน จะเสียค่าเรียน 1 แสน 5 พัน บาท เพราะ คณะคุรุศาสตร์ต้องเรียน 5 ปี ต่างจากภาคการเรียนปกติ ที่เสียค่าเรียน ภาคเรียนละ 7,000 บาทเท่ากัน แต่ 1 ปี เรียนเพียง2ภาคเรียน หรือ ตลอดการเรียน 5 ปี จะเสียค่าเรียนทั้งหมด 7 หมื่น บาท
