เมื่อวานนี้ ประชาชนและนักเคลื่อนไหวหลายแสนคน พร้อมใจกันจัดการชุมนุมใหญ่ ที่หน้าทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดีซี ,นครนิวยอร์ก และอีกหลายเมืองใหญ่ทั่วสหรัฐฯ ภายใต้คำขวัญว่า “ครอบครัวควรได้อยู่ร่วมกัน” หรือ Families Belong Together (แฟมิลีส์ บีลอง ทูเกเตอร์) เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านนโยบายของรัฐ ที่เพิ่มความเข้มงวดและดำเนินคดีกับผู้ลักลอบเข้าเมืองบริเวณพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ทำให้ผู้ลักลอบเข้าเมืองที่มีเด็กมาด้วยถูกแยกไปคุมขังในเรือนจำเพื่อรอดำเนินคดี ขณะที่ลูกหลานถูกแยกไปยังศูนย์ดูแล
ผู้ชุมนุมระบุว่า แม้ว่าขณะนี้ทางการจะยกเลิกการใช้มาตรการนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ดำเนินการส่งตัวเด็กๆกว่า 2 พันคน ที่ได้รับผลกระทบไปก่อนหน้านี้ กลับคืนสู่อ้อมอกพ่อแม่
เบื้องต้น คาดว่ากิจกรรมชุมนุมมีมากถึง 630 จุดทั่วประเทศ เช่นเดียวกับในโลกออนไลน์ ที่มีการออกมาแสดงจุดยืนคัดค้าน ด้วยการติดแฮชแท็ก #familiesbelongtogether (แฟมิลีส์ บีลอง ทูเกเตอร์)
รายงานข่าวระบุว่า กลุ่มผู้ประท้วงได้ออกมาถือป้ายประท้วง บ้างก็ร้องตะโกนว่าพวกเขาพร้อมต้อนรับผู้อพยพ ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัดขณะที่แม่บ้านหลายคนอุ้มลูกเล็กๆไปร่วมชุมนุมด้วย
สำหรับนโยบายพรากลูกผู้อพยพ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องยอมถอย ลงนามคำสั่งพิเศษระงับการใช้นโยบายดังกล่าว ขณะที่เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้พิพากษาศาลในรัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐฯ ก็มีคำสั่งให้ทางการนำเด็กๆส่งคืนพ่อแม่ภายในเวลา 30 วัน