ผู้สื่อข่าวพีพีทีวี รายงานว่า ภาพจากกล้องวงจรปิด ภายในซอยประชาสงเคราะห์ 1 ซึ่งบันทึกภาพขณะที่ นายธนิต ทัฬหสุนทร ลูกชายนายศุภชัย ทัฬหสุนทร ที่กระโดดตึกศาลอาญาเสียชีวิต มีการเดินด้วยสภาพโซเซออกมาจากกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ในช่วงคืนวันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2559 เมื่อเวลาประมาณ 22.20 น.
จากภาพของกล้องวงจรปิดจะเห็นว่า ผู้เสียชีวิตอยู่ในสภาพที่มีเลือดออกบริเวณแผ่นหลังเป็นจำนวนมาก โดยคาดว่าน่าจะถูกกลุ่มคนร้ายใช้ของมีคมแทงเข้าที่ร่างกาย จากนั้นผู้เสียชีวิตได้มาซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของเพื่อนอีกคนหนึ่ง ก่อนจะขับไปยังท้ายซอยที่สามารถทะลุไปยังซอยอื่นๆได้ แต่ปรากฎว่าในเวลาต่อมา นายธนิต ได้เสียชีวิตระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล ที่บริเวณใต้ทางด่วนดินแดง
หากดูจากภาพวงจรปิดดังกล่าว จะเห็นว่าภายในซอยจุดเกิดเหตุมีผู้คนอยู่กันเป็นจำนวนมาก และน่าจะเห็นเหตุการณ์ที่นาย ธนิต ถูกคนร้ายแทงจนเสียชีวิตด้วย
ข้อมูลจากญาติผู้เสียชีวิต ระบุว่า คนที่ขี่รถจักรยานยนต์พาไปส่งโรงพยาบาล เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยประถมกับนายธนิศ และยังเป็นเพื่อนกับกลุ่มคนร้ายด้วย เขาเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้น เนื่องจากเป็นตัวกลางที่ทำหน้าที่เคลียร์ปัญหาระหว่างนายธนิต กับ กลุ่มคนร้าย
ซึ่งทางกลุ่มคนร้ายกล่าวหาว่า นายธนิต แอบมองหน้าแฟนสาวของกลุ่มคนร้ายทำให้เกิดความไม่พอใจกัน จึงเรียกนายธนิต เข้ามาเคลียร์ปัญหาโดยเดินเข้าไปในซอยลึกด้านใน กระทั่งเกิดเหตุทำร้ายร่างกายกันอย่างชุลมุล ก่อนที่จะเห็นภาพนายธนิต เดินออกมาด้วยสภาพมีเลือดออกเต็มตัว
ญาติยัง ระบุอีกว่า สำหรับเพื่อนของนายธนิต ที่ขี่รถจักรยานยนต์พาไปส่งโรงพยาบาล คือคนเดียวกับพยานที่ให้การตำรวจว่าเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด จึงกลายเป็นประจักษ์พยานคนสำคัญในคดีนี้
แต่ในชั้นศาลปรากฎว่า พยานคนดังกล่าวไม่สามารถมาเบิกความในชั้นศาลได้ โดยอ้างมีอาการป่วยทางสมองหลังเกิดอุบัติเหตุ จึงมีเพียงคำให้การที่เคยให้ไว้กับพนักงานสอบสวนในเบื้องต้นเท่านั้น และเมื่อประจักษ์พยานไม่สามารถเบิกความได้ ประกอบกับหลักฐานจากกล้องวงจรปิดมีน้ำหนักไม่เพียงพอ จึงเห็นเหตุให้ศาลพิพากษายกฟ้องในคดีนี้
ด้านนางเรวดี ทัฬหสุนทร ภรรยาของนายศุภชัย ที่เสียชีวิตจากการกระโดดตึกศาลอาญา เปิดเผยกับทีมข่าว pptv ว่า ไม่เคยคิดว่าสามีจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย แต่ว่าภายหลังศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ตอนนั้นตนเองก็คิดที่จะฆ่าตัวตายเหมือนกัน แต่มีคนมาช่วยไว้ทัน
จึงอยากร้องขอความเป็นธรรมกับผู้ที่เกี่ยวที่ข้องทั้งหมด เนื่องจากครอบครัวต้องสูญเสียทั้งสามีและลูกชาย พร้อมยืนยันจะเดินหน้าต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์และฎีกา เพราะที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ครอบครัวเป็นผู้หาพยานหลักฐานเพียงฝ่ายเดียว จนถึงขั้นทำให้สามีต้องลาออกจากงานประจำเพื่อติดตามหาหลักฐานในคดีนี้
ผบ.ตร. ลั่น หากพบสำนวนคดีหละหลวม สั่งเอาผิดเต็มที่
ด้าน พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องสอบถามกับชุดสอบสวนว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะตามหลักการทำงานทุกคดี พนักงานสอบสวนจะต้องเป็นผู้หาพยานหลักฐานทั้งหมด และทำอย่างเต็มที่โดยไม่เลือกปฏิบัติ พร้อมยอมรับว่าบางคดีมีข้อจำกัดโดยเฉพาะเรื่องกล้องวงจรปิดที่ไม่สามารถจัยภาพได้ แต่หากผลการตรวจสอบพบว่าพนักงานสอบสวนมีความบกพร่องก็พร้อมลงโทษ
ด้าน พลตำรวจโท ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบเรื่องนี้แล้วขอเวลาให้ตำรวจทำงานก่อน ส่วนกรณีที่พยานผู้พบเห็นเหตุการณ์ ซึ่งเป็นเพื่อนของทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้เข้าให้ปากคำ ยืนยันว่าเป็นเพราะป่วยและอยู่ระหว่างการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล