พระราชรัตนมุนี (ผศ.บุญเทียม ญานินฺโท) หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “เจ้าคุณบุญเทียม” เดิมมีภูมิลำเนาอยู่ที่ อำเภอภูกามยาว จังหวัดพะเยา เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2516 ปัจจุบันอายุย่างเข้า 45 ปี อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ตั้งแต่ครั้งอายุ 20 ปี และเจริญพรรษาในผ้าเหลืองมาแล้วราว 25 พรรษา
ในปี 2542 ท่านได้รับสมณศักดิ์เป็น พระเปรียญธรรม 8 ประโยค (ป.ธ.8) ต่อมาในวันที่ 5 ธันวาคม 2551 ได้รับสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ที่ พระศรีสุธรรมมุนี และในวันที่ 5 ธันวาคม 2556 ได้รับสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชรัตนมุนี ตรีปิฎกวิภูษิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
อ่านข่าว : พระราชรัตนมุนี จ่อเข้าพบตำรวจกองปราบหลังเอี่ยวทุจริตเงินทอนวัด
พระราชรัตนมุนียังดำรงตำแหน่งทางฝ่ายปกครองเป็น ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง (ผจล.) และเลขานุการเจ้าคณะใหญ่หนกลาง สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดพิชยญาติการามวรวิหาร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร
โดยเจ้าคุณบุญเทียมนั้น เคยเป็นประธานดำเนินการจัดพิมพ์คู่มือการศึกษาภาษาบาลี “พระคาถาธรรมบท” ผลงานวิจัยสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ และเคยมีประสบการณ์เดินทางไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านพระพุทธศาสนา ณ ประเทศศรีลังกา และ วัดนวมินทรราชูทิศ รัฐแมตซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงปี 2558 มี่ผ่านมา
สำหรับเหตุการณ์ “เงินทอนวัด” นี้ เกิดจากการที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้จัดสรรงบที่เรียกว่า “เงินอุดหนุน” ให้กับวัดในประเทศไทย โดยการของบเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อนำไปบูรณะซ่อมแซมวัด เพื่อการศึกษาพระปริยัติธรรม และเพื่อการเผยแผ่ดำเนินกิจกรรมทางศาสนา และเมื่อมีการโอนเงินอุดหนุนนี้จากส่วนกลางไปยังวัด จะมีผู้ที่เกี่ยวข้องไปขอคืนด้วยวิธีการโอน โดยจะตกลงกับวัดก่อนว่าต้องการเท่าไหร่ จากนั้นจะทำเรื่องจากส่วนกลางโอนไปให้ แต่เป็นเงินที่มากกว่าจำนวนที่ต้องการนำไปใช้จริง จากนั้นจึงให้มีคนตามไปรับคืน นี่เองที่เรียกว่า “เงินทอน”
มหากาพย์การขุดคุ้ยการทุจริตครั้งยิ่งใหญ่ของวงการสงฆ์เริ่มขึ้นเมื่อ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้รับเบาะแสการทุจริต จึงได้ทำการตรวจสอบจนพบความผิดปกติในเส้นทางการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แล้วได้ส่งต่อข้อมูลให้กับกองปรามปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558
ต่อมาในช่วงเดือนมิถุนายน 2560 จากการตรวจสอบข้อมูลเงินงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระหว่างปี 2555 -2559 ที่มีการเบิกจ่าย 33 วัด ซึ่งนับเป็น “เฟสที่ 1” พบว่ามีวัดที่เข้าข่ายทุจริต 12 วัด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ป.) ได้สรุปสำนวนคดีทุจริตเงินทอนวัด 12 แห่ง พบว่า มีผู้กระทำความผิดรวม 10 ราย
ต่อมาในการตรวจสอบ “เฟสที่ 2” พบการทุจริตเงินทอนวัดจำนวน 23 วัด โดยมีข้าราชการ พศ.ทุจริต จำนวน 13 คน พระภิกษุสงฆ์ 4 รูป และพลเรือน 2 คน มูลค่าความเสียหาย 141 ล้านบาท หนึ่งในวัดเหล่านั้นคือ “วัดพิชยญาติการามวรวิหาร” โดยผู้ที่ถูกกล่าวหาในเฟสที่สองนี้มี “เจ้าคุณบุญเทียม” รวมอยู่ด้วย
ซึ่งช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา พระราชรัตนมุนี เข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) แล้ว เกี่ยวกับข้อหาฟอกเงินคดีทุจริตเงินทอนวัดเฟสที่ 2
และใน “เฟสที่ 3” ที่กลายเป็นที่ฮือฮาระดับประเทศ เพราะครั้งนี้ตรวจพบการทุจริตเงินทอนวัดใน 10 วัด และ 3 ใน 10 วัดนั้น คือวันสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดสัมพันธวงศาราม และวัดสามพระยา ซึ่งล้วนเป็นวัดใหญ่ที่มีชื่อเสียงทั้งสิ้น กลายเป็นการตรวจสอบพระเถระชั้นผู้ใหญ่วัดดังในกรุงเทพมหานคร ถึง 5 รูป คือ
พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะกรุงเทพฯ
พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการมส. และเจ้าคณะภาคที่ 4 -7
พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการมส. และเจ้าคณะภาค 10
และผู้ช่วยเจ้าอาวาส 2 รูป คือ พระเมธีสุทธิกร และพระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยวัดสระเกศฯ
ความคืบหน้าคดีทุจริตเงินทอนวัดล่าสุดวันนี้ พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามฯ ได้ทำการออกหมายเรียก พระราชรัตนมุนี เลขาฯ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร ให้เข้ามาพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำในคดีทุจริตเงินทอนวัด ในวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ เวลา 09.30 น.
ขอบคุณภาพจาก ยูทูบ Wat Phichaiyat Bangkok