เมื่อวันที่ (24 ส.ค. 61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ครอบครัวของพลทหารคชา พะชะ ทหารเกณฑ์สังกัดกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ ยังคงเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด โดยช่วงสายวันนี้ทีมแพทย์เชิญญาติทำความเข้าใจอาการของพลทหารคชา ระบุว่า อาการล่าสุดเริ่มขยับตัวช่วงล่างตั้งแต่เอวลงไปได้บ้างบางช่วง อาการสมองบวมยังคงมีอยู่ แต่ไม่ได้กดทับก้านสมองที่ควบคุมการหายใจ โดยแพทย์ติดตามอาการทุก 1 ชั่วโมงเพื่อประเมินการรักษาอย่างใกล้ชิด
ทางด้านนายคมฉัน พะชะ พ่อพลทหารคชา บอกว่าครอบครัวรู้สึกดีใจและเฝ้ารอขอให้มีปาฏิหาริย์ เพราะครอบครัวยังมีความหวังวันนี้ยิ้มได้ที่ทราบว่าลูกชายอาการดีขึ้น พร้อมขอบคุณพันโทมลชัย ยิ้มอยู่ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ จ.ลพบุรีที่ไม่ปกป้องคนผิด และคอยอยู่ให้กำลังใจ ดูแลครอบครัว ยืนยันว่าไม่ได้ติดใจกับหน่วยงานและผู้บังคับบัญชาของพลทหารคชา เพราะทราบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่การซ่อมตามระบบทหาร แต่ก็ไม่เห็นกับระบบการซ่อมเพราะอาจทำให้เกิดความสูญเสียได้ ย้ำว่าต้องดำเนินคดีกับ 3 พลทหารที่กระทำผิดตามกฏหมาย
สำหรับพลทหารทั้ง 3 นาย ที่รับสารภาพกับผู้บังคับบัญชาว่า ทำร้ายร่างกายพลทหารคชา เพราะไม่พอใจเรื่องส่วนตัว ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ในค่ายทหาร ทางด้านตำรวจยัง
ด้าน พล.ต.ชัชวาล บูรณรัช ผู้อำนายการโรงพยาบาลอานันทมหิดล กรมแพทย์ทหารบก กล่าวว่า คนไข้ถูกส่งตัวมา ที่โรงพยาสบาล เมื่อวันที่ 21 ส.ค.2561 ในเวลา 23.00 น. ด้วยอาการหมดสติ ไม่หายใจ แพทย์จึงทำซีพีอาร์ 2 ครั้งใช้เวลาทั้งหมด 45 นาที จากนั้นชีพจรของคนไข้ก็กลับมาปกติ ทางแพทย์จึงใช้ท่อหายใจ และย้ายคนไข้มาห้องไอซียู จากการตรวจร่างกายทั้งหมดไม่พบร่องรอยฟกช้ำ ไม่มีบาดแผล ซี่โครงไม่หัก เพราะถ้ากระดูกหักจะมีจ้ำตามตัว แต่สภาพของคนไข้ตอนนั้นมีอาการไตไม่ทำงาน หรือ ไตวาย ทีมแพทย์จึงใช้เครื่องฟอกไต จนในวันที่ 2ภาวะไตดีขึ้น และ วันที่ 3 อาการผู้ป่วยตอบสนองไม่ค่อยดีนัก แพทย์จึงส่งผู้ป่วยไปทีแสกนสมองอีกครั้ง และ วันนี้ 24 ส.ค. 61 อาการทางระบบประสาทของคนไข้ยังไม่รู้สึกตัวเนื่องจากภาวะสมองบวม เพราะขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน
ทางทีมแพทย์ ได้หารือกัน พร้อมขอคำปรึกษาจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จึงมีความเห็นว่าจะไม่ผ่าตัดสมอง เพราะเกิดอันตรายต่อคนไข้ และ อาการของคนไข้ดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้น อยู่ที่ภาวะสมองบวม ถ้าสมองหยุดบวมคนไข้อาการจะดีขึ้น แต่ถ้าสมองยังบวมอยู่ ก็จะแย่ลง ซึ่งตอนนี้ ทีมแพทย์จึงพยายามทำให้อุณหภูมิของร่างกายคนไข้ลดลง เมื่ออุณหภูมิในร่างกายลดลง อ๊อกซิเจนจะเข้าสมองน้อยลงเลือดเข้ามาหล่อเลี้ยงสมองมากขึ้น เพื่อจะได้ประคับประคองสมองของคนไข้ และ ขณะนี้คนไข้ยังมีอาการทรงตัว
ส่วนจะเหตุการณ์คนไข้ถูกซ้อมอย่างไร ทางทีมแพทย์ไม่สามารถตอบได้ต้องให้เป็นหน้าที่ของตำรวจในสืบสวน แพทย์สามารถบอกได้เฉพาะเรื่องอาการของคนไข้ และ พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แต่ขณะนี้ทางตำรวจยังไม่ได้ทำหนังสือขอความเห็นมายังทีมแพทย์
