ในประเทศญี่ปุ่น “การสัก” เรียกว่า Irezumi ความหมายว่า การเติมหมึก การสักจะประทับตราคนกลุ่มต่างๆ เพื่อแบ่งแยกเช่น เพชฌฆาต สัปเหร่อ อาชญากร จนกระทั่งเริ่มมีการสักแบบ Horibari ที่มักจะสักลวดลายต่างๆทั่วร่างกาย และเริ่มแพร่หลายในปี ค.ศ. 1750 โดยนิยมมากในหมู่ Eta ซึ่งเป็นกลุ่มคนชั้นต่ำที่สุด ลวดลายต่างๆมักเป็นจิตรกรรมที่มีชื่อเสียง ตลอดจนเทพเจ้า ตามความเชื่อทางศาสนา และนิทานพื้นบ้าน
ส่วนประเทศไทยในสมัยโบราณมักจะสักตามเรือนร่างเพราะความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ หรือ ที่เรียกกันว่า “สักยันต์” เชื่อว่าเมื่อสักลงไปแล้วจะทำให้ “มีโชค แคล้วคลาด ปลอดภัย อยู่ยงคงกระพัน และพ้นจากอันตรายต่างๆ” รูปแบบลายสัก หรือ ยันต์แต่ละชนิดจะให้คุณที่แตกต่างกัน และ ผู้ที่สักยันต์จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับที่แต่ละสำนักกำหนดไว้ เช่น ห้ามด่าบิดา-มารดา ห้ามลบหลู่ครูอาจารย์ เป็นต้น
การสักยันต์ลงอักขระ จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ 1. “สักด้วยน้ำมัน” โดยนำน้ำมันว่าน มาทาบนผิวหนัง จากนั้นจะใช้เหล็กเขียนยันต์ลงไป แต่การสักน้ำมันจะไม่มีลวดลายให้เห็นบนเรือนร่าง
2. “สักด้วยหมึกจีน” โดยการใช้เข็มเหล็กแหลมจุมหมึกสีดำผสมว่านนำมาทิ่มลงบนผิวหนัง เมื่อเสร็จสิ้นก็จะมีลวดลายต่างๆโดยลวดลายส่วนใหญ่จะเป็นภาษาขอม และ ภาษาบาลี
“ในสังคมไทยปัจจุบัน การสัก ไม่ใช่เฉพาะความเชื่อทางไสยศาสตร์ แต่เป็นแฟชั่น หรือ เป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งบนเรือนร่าง บางคนต้องการสัก เพื่อบันทึกเรื่องราวของตัวเองในอดีต เช่น การสักรูปสุนัขตัวโปรดที่ตายจากไป สักชื่อคนรักในอดีต หรือ บางคนสักแฟชั่นตามนักร้องดัง ”
“การสัก” ในปัจจุบันพัฒนาไปมากเพราะเครื่องมือสักเป็นแบบไฟฟ้า เข็มเป็นมอเตอร์ในการทำให้ขยับแทงในผิวหนังลึกระหว่าง0.6-22 มิลลิเมตร และ “การสัก” อาจจะก่อให้เกิดอันตรายจากการติดเชื้อโรคชนิดต่างๆ เช่น impetigo, staph infection, cellulitis ตลอดจนปฏิกิริยาจากสี เพราะสารที่นิยมใช้เป็นสีหลายชนิดมักเป็นโลหะหนัก เช่น สารปรอท แร่เหล็ก แร่โคบอลด์ สารเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาบางอย่างโดยเฉพาะสารสีแดงของโลหะจะพบได้บ่อยที่สุด
ดังนั้น หากต้องการสักบนเรือนร่างต้องเลือกร้านที่มีใบอนุญาต สะอาด และ ต้องเปลี่ยนเข็มสักทุกครั้ง
ข้อมูลบางส่วนจากวิกิพีเดีย
อ่านเพิ่มเติม : พ่อเชื่อลูกสาวติดเชื้อ “HIV” จากการสักลาย แต่ไม่โทษใคร ขอจบเรื่องแค่นี้
ติดตามข่าววันนี้ได้ที่นี่ >> //www.pptvhd36.com/special/ข่าววันนี้