หลังจากคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ คนร. เห็นชอบแผนฟื้นฟูการบินไทยและรัฐบาล พร้อมสนับสนุนการบินไทยในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้เป็นไปตามเป้าหมาย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ 3รัฐวิสาหกิจไทย คือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) , บริษัท ท่าอากาศยานไทยจำกัด (มหาชน) (ทอท.) และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มาช่วยกันพลิกฟื้น หวังให้การบินไทยกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิมเป็น “National Premium Airline” นอกจากนั้น ยังมีความเป็นไปได้ที่จะซื้อเครื่องบินอีก 23 ลำ มูลค่าราว 1 แสนล้านบาท โดยทั้งหมดจะต้องเสนอแผนภายใน 30 วัน และตั้งเป้าว่าจะเห็นผลภายใน 3 เดือน
"นิวมีเดีย พีพีทีวี" ต่อสายตรงถึง นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ถามความเห็นถึงแนวทางนี้ ได้รับการเปิดเผยว่าตามหลักการหน่วยงานรัฐวิสาหกิจเป็นหน่วยงานที่ต้องมีการแข่งขันกันตลอดอยู่แล้ว เพราะมีผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ ด้วย ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะเข้ามาแบกรับภาระในส่วนที่ไม่ใช่ธุรกิจของตนเองได้ ยกเว้นรัฐวิสาหกิจที่เป็นธุรกิจผูกขาด เช่น ทอท. ดังนั้นการยื่นมือเข้ามาช่วยการบินไทย หากเป็นการช่วยในเชิงของการให้คำปรึกษาแนะนำ ก็ถือว่าเป็นประโยชน์และเป็นเรื่องที่ดี
โดยเขาได้อธิบายให้ฟังถึง 3 รัฐวิสาหกิจที่จะเข้ามาช่วยการบินไทยในครั้งนี้ด้วยว่า จะสามารถเสริมศักยภาพด้านไหนได้บ้าง เริ่มจาก
ทอท. การบินไทยถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด การที่ ทอท.จะเข้ามาเสริมในเรื่องของการประสานงานเที่ยวบินเข้า-ออก อำนวยความสะดวกลูกค้าผู้โดยสาร การบริหารจัดการหลุมจอด เพราะเครื่องบินของการบินไทยจะต้องทำการบินทั้งในไทยและต่างประเทศ ดังนั้นการบริหารจัดการหลุมจอดอย่างเป็นระบบก็จะสามารถลดต้นทุนในส่วนนี้ได้อีกทาง
ต่อมา คือ ททท.ในเมื่อเมืองไทยมีจุดแข็งเรื่องการท่องเที่ยวอยู่แล้ว ททท.จะยิ่งสามารถเข้าช่วยเรื่องการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้นได้ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเมืองรอง ที่มีส่วนสนับสนุนธุรกิจการบิน เพราะการบินไทยสามารถนำนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้าสู่เมืองรอง โดย ททท. สามารถสนับสนุนทางด้านโฆษณาและประชาสัมพันธ์ได้ดี
ส่วน ธนาคารกรุงไทย คงไม่ใช่การเข้าช่วยเรื่องของผลประกอบการ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ แต่หากมาช่วยให้คำปรึกษาการวางแผนการบริหารต้นทุน เพิ่มรายได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดี
อย่างไรก็ตาม การบินไทยต้องการให้ธนาคารกรุงไทยมาช่วยเสริมในเรื่อง Big Data โดยการบินไทย ททท. ทอท. และ ธ.กรุงไทย จะร่วมพัฒนาข้อมูลใน Segment ของนักท่องเที่ยว และพัฒนาด้าน Payment Gateway
นายบรรยง กล่าวย้ำด้วยว่า การที่รัฐวิสาหกิจยื่นมือเข้ามาช่วยเป็นเรื่องดีแต่สำคัญที่สุดคือ
“การบินไทยก็ต้องพลิกฟื้นขึ้นมาด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการบริหารต้นทุน การสร้างรายได้ ทำอย่างไรให้การบริหารอุตสาหกรรมการบินมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะการต้องแข่งกับคู่แข่งที่เป็นสายการบินชั้นนำระดับโลก”
หนึ่งในนั้นคือสายการบิน “เอมิเรตส์” เป็นสายการระดับชาติของตะวันออกกลาง โดยมีแผนจะจับมือกับสายการบินเอทิฮัดสายการบินแห่งชาติอีกสายการบินหนึ่ง เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเป็น “สายการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก”
หลังจากที่ทั้งสองเผชิญกับผลประกอบการที่ไม่สวยงามนัก เพราะการแข่งขันด้านราคาของโลว์คอสต์แอร์ไลน์ที่ดุเดือดมากในช่วง 1-2 ปี มานี้ทำให้สายการบินที่ให้บริการแบบฟูลเซอร์วิสจากตะวันออกกลางต้องเร่งปรับแผนธุรกิจกันยกใหญ่ โดย สายการบินเอมิเรตส์มีผล กำไรลดลง 82% ในช่วงปี 2559-2560 นับเป็นครั้งแรกรอบ 5 ปี ขณะที่สายการบินเอทิฮัดในปี 2559 มีผลขาดทุน 1.87 พันล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกันสายการบินเอมิเรตส์ก็รุกตลาดเมืองไทยค่อนข้างหนัก โดยมีจำนวนเที่ยวบินที่ออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 10 เที่ยวบิน และ 6 ใน 7 เที่ยวบินคือ แอร์บัส 380
ดังนั้นเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้หลังจากนี้ว่า ไทยจะเป็น 1 ใน 5 อันดับสายการบิน ของโลกภายในปี 2565 และเป็น “National Premium Airline” จะเป็นไปได้หรือไม่
นายบรรยงตอบสั้นๆ ว่า “ไม่ใช่เรื่องง่ายและอาจต้องทำงานหนักมาก” หากเป็นการจัดอันดับโดย สถาบันวิจัยบริการการบินชั้นนำของอังกฤษ หรือ Skytrax ที่ ใช้เกณฑ์เรื่องของความพึงพอใจของผู้บริโภค รวมไปถึงความได้มาตราฐานในด้านต่างๆ โดยในปี 2561 สายการบินไทยรั้งอันดับที่ 10 ขณะที่ เอมิเรตส์ อยู่ในอันดับที่ 4
เป็นความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมบินระดับนานาชาติในการปรับกระบวนการดำเนินธุรกิจซึ่งสายการบินหนึ่งในวิธีดึงหน่วยรัฐวิสาหกิจของชาติเข้ามาช่วยอุ้มให้เป็น 1 ใน 5 ของโลก ขณะที่อีกสายการบินหนึ่งเลือกที่จะเดินหน้าแก้วิกฤตธุรกิจด้วยตนเองด้วยการหาแนวทางจับมือพันธมิตรธุรกิจการบินเพื่อให้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
ข้อมูล Bloomberg,Financial Times
ติดตามข่าววันนี้ได้ที่นี่ >>> //www.pptvhd36.com/special/ข่าววันนี้
