สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด จนทำให้บรรดาสายการบินชั้นนำทั่วโลกเริ่มตื่นตัว หันมาลงทุนเสริมมาตรการต่างๆมากขึ้น คือ กรณีของสนามบินนานาชาติคันไซ ซึ่งเป็นสนามบินหลักในเมืองโอซากา ของญี่ปุ่น โดยสนามบินแห่งนี้ ต้องปิดซ่อมนานถึง 17 วัน หลังได้รับความเสียหาย จากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่นเชบี ที่พัดถล่มญี่ปุ่น เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีสนามบินทั้งในจีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย รวมถึงรัฐนอร์ทแคโรไลนา ของสหรัฐฯ ที่ต้องปิดทำการชั่วคราว เพราะเจอกับพายุรุนแรงและเหตุแผ่นดินไหว สภาท่าอากาศยานระหว่างประเทศ (เอซีไอ) จึงได้ออกรายงานการประเมินความเสี่ยงให้กับประเทศสมาชิก พบว่า ในบรรดาท่าอากาศยานขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งทั่วโลก มี 15 แห่งที่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่ถึง 9 เมตร อาทิ สนามบินในประเทศวานูอาตู และมัลดีฟส์
ล่าสุด มีหลายสายการบินที่เริ่มลงทุนป้องกันความเสี่ยงจากภัยพิบัติแล้ว เช่น สนามบินชางงี ของสิงคโปร์ ที่มองการณ์ไกลไปถึงปี 2100 ว่าระดับน้ำทะเลมีโอกาสสูงขึ้นเกือบ 1 เมตร จึงได้ดำเนินการปรับปรุงรันเวย์ ให้ระบายน้ำได้ดีขึ้น และสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ที่สูงจากระดับน้ำทะเลมากขึ้น เช่นเดียวกับสนามบินบริสเบนของออสเตรเลีย ที่กำลังสร้างรันเวย์ และกำแพงกันคลื่นที่สูงขึ้น รวมถึงปรับปรุงระบบระบายน้ำด้วย