เมื่อวานนี้ สมาชิกรัฐสภายูเครนลงมติเสียงข้างมาก 276 ต่อ 30 เสียง สนับสนุนการประกาศใช้กฎอัยการศึกตามคำขอของประธานาธิบดีเปโตร โปโรเชนโก ครอบคลุมพื้นที่ตามแนวชายแดนที่ติดกับรัสเซีย เบลารุส และมอลโดวา โดยจะมีผลเป็นเวลาอย่างน้อย 30 วัน เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ส่วนกรุงเคียฟ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ ไม่ได้อยู่ภายใต้คำสั่งดังกล่าว
ภายใต้กฎอัยการศึก รัฐบาลสามารถจำกัดการชุมนุมในที่สาธารณะ และควบคุมสื่อได้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีอำนาจในการเลื่อนการเลือกตั้งได้อีกด้วย โดยยูเครนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 31 มี.ค. ปีหน้า
ท่าทีดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากการเผชิญหน้ากันของเรือลาดตระเวนรัสเซียและเรืออีก 3 ลำของยูเครน บริเวณช่องแคบเคิร์ช ของคาบสมุทรไครเมีย เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยรัสเซียได้ทำการยึดเรือทั้งหมด พร้อมจับกุมลูกเรืออีก 23 คนไปเป็นเชลยฐานรุกล้ำน่านน้ำ
ขณะที่หลายประเทศ อาทิ เยอรมนี สหราชอาณาจักร แคนาดา อียู รวมถึงองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต ได้ออกมาแสดงจุดยืนประณามการกระทำของรัสเซีย ผิดกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่หลีกเลี่ยงการประณามรัสเซียโดยตรง ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่า เป็นเพราะเขามีกำหนดจะพบหารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ที่ประเทศอาร์เจนตินา ในสัปดาห์นี้
ส่วนบรรยากาศการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก เมื่อวานนี้ นางนิกกี เฮลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ กล่าวเตือนว่า พฤติกรรมเย้ยกฎหมายของรัสเซีย อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศได้ อย่างไรก็ตาม การประชุมจบลงโดยไม่มีข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมใดๆ
ล่าสุด สื่อของรัสเซีย รายงานว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้ออกแถลงการณ์ หลังเสร็จสิ้นการหารือทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีอังเกลาแมร์เคิล ของเยอรมนี โดยนายปูตินแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่รัฐบาลยูเครนเตรียมจะประกาศกฎอัยการศึก และหวังว่า เยอรมนีอาจจะมีอิทธิพลในการแทรกแซงเพื่อห้ามปรามยูเครนไม่ให้กระทำการที่ไร้ความยั้งคิดนี้