คนเก่า-หน้าเดิม ที่ย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ถูกมองว่า จะทำให้พรรคน้องใหม่ที่มีรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรค ได้เก้าอี้ส.ส.ในสภามากขึ้น เพราะกติกาการเลือกตั้งใช้บัตรใบเดียวเลือก ส.ส.เขต อาจทำให้ตัวผู้สมัคร ส.ส. เป็นปัจจัยในการตัดสินใจเลือกมากกว่าชื่อพรรคการเมือง และจะเป็นจุดสำคัญที่อาจทำให้ พลังประชารัฐ กวาดที่นั่งในสภาได้มากถึง 130 ที่นั่ง
นาย สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์ตัวเลข 130 ที่นั่งจากชื่อเสียงของนักการเมืองดังที่ย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ อาจกวาดที่นั่ง ส.ส.เขตได้มากถึง 50 เขต ส่วน 300 เขตที่แพ้การเลือกตั้ง ถ้าคิดจากคะแนนของผู้สมัครเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ซึ่งผู้ชนะแต่ละเขต มีคะแนนเฉลี่ยประมาณ 50,000 คะแนน จึงคิดให้ผู้สมัครพลังประชารัฐ ได้ขั้นต่ำเฉลี่ยเขตละ 20,000 คะแนน รวมเป็น 6 ล้านคะแนนทั่วประเทศ
เมื่อนำไปหารด้วย 70,000 ซึ่งเป็นตัวเลขคะแนนเฉลี่ยที่คาดว่า จะเปลี่ยนเป็นเก้าอี้ ส.ส.ในสภาได้ 1 ที่นั่ง จะเท่ากับว่า พลังประชารัฐ จะได้ ส.ส. รวมเป็น 130 คน ซึ่งอาจเป็นบัญชีรายชื่อถึง 80 คน
นาย สติธร ยังมองว่า กลยุทธ์ที่พลังประชารัฐจะเลือกใช้ ไม่ใช่การส่งอดีต ส.ส.บิ๊กเนม ลงสมัครในเขตเลือกตั้ง หากพบว่ามีความเสี่ยงแพ้การเลือกตั้ง แต่จะให้บุคคลเหล่านี้ช่วยผู้สมัครที่มีแนวโน้มชนะการเลือกตั้งหาเสียงแทน
ส่วนพรรคเพื่อไทย และ พรรคประชาธิปัตย์ ที่สูญเสีย อดีตส.ส.จำนวนหนึ่งให้พรรคพลังประชารัฐ นอกจากต้องหาผู้สมัครแทนแล้ว หากนำคะแนนเฉลี่ยที่ทั้ง 2 พรรค เคยชนะการเลือกตั้งระบบเขต เมื่อปี 2554 มาคำนวณตามกติกาใหม่ จะทำให้ทั้ง 2 พรรคใหญ่สูญเสียโอกาสได้เก้าอี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อไปด้วย
หากเปรียบการเลือกตั้งเป็นกีฬามวย นี่คงเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในขั้นตอนการคัดตัว แต่ช่วงสิ้นปีนี้ หลังพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งประกาศใช้ แต่ละพรรคการเมืองน่าจะพร้อมส่งตัวแทนขึ้นชก ในสนามการเลือกตั้งที่รอคอยมานานกว่า 4 ปี
ติดตามข่าววันนี้ได้ที่นี่ >> //www.pptvhd36.com/special/ข่าววันนี้
