วันนี้ (16 ม.ค.62) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเอกวิชช์ เกษเจริญ ผู้เสียหาย เดินทางมาพร้อมญาติ ชูป้ายร้องทุกข์ประท้วงที่หน้าธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดยระบุข้อความว่า “ธนาคารเป็นสถาบันใหญ่ แต่ปล่อยให้พนักงานโกง” นายเอกวิชช์ ระบุว่า ตนถูกเพื่อนปลอมลายมือชื่อในใบมอบฉันทะ นำไปถอนเงินจากธนาคารกรุงไทย สาขาปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จำนวน 2 ครั้ง รวมเป็นเงินมากถึง 8.3 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน ปี 2551 โดยตอนนั้นทางธนาคารไม่ได้โทรแจ้ง หรือ โทรมาสอบถามตนซึ่งเป็นเจ้าของบัญชี ซึ่งตนมีหลักฐานจากกองพิสูจน์หลักฐานยืนยันว่า ลายเซ็นในใบมอบฉันทะเป็นคนละคนกัน ที่ผ่านมา 10 ปี ได้ร้องขอความเห็นใจกับธนาคารกรุงไทย แต่ไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใด ๆ และมีการโยนเรื่องไปที่ชั้นศาลอย่างเดียว จนถึงปัจจุบันนี้ตนและครอบครัวได้รับความเดือดร้อน เป็นหนี้ และเสียเวลามากมายในการต่อสู้คดี
ด้านทางธนาคารกรุงไทย ได้เชิญนายเอกวิชช์ ขึ้นไปที่ห้องประชุมเพื่อชี้แจงรายละเอียดว่าเรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนไหน เบื้องต้นนางปัญจพรโกศลกิติวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่าย ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนลูกค้าธนาคารกรุงไทย พร้อมทนายความ ได้ออกมาชี้แจงว่า เรื่องนี้ต้องฟังความสองข้าง ผู้เสียหายได้นำเรื่องนี้ไปฟ้องต่อศาลจังหวัดนครสววรรค์ และศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วว่าธนาคารทำถูกต้องไม่มีการปลอมลายเซ็น และผู้เสียหายได้ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เพราะเงินจำนวน 8.3 ล้านบาทนี้ มีการกระบวนการเบิกถอนที่ถูกต้อง ที่ผ่านมาทางธนาคารกรุงไทยก็ไม่ได้บิดพริ้วอะไร ยึดตามคำสั่งของศาลอย่างเคร่งครัด ถ้าศาลสั่งว่าธนาคารผิดก็พร้อมจะจ่ายเงินให้แก่ผู้เสียหาย แต่เรื่องนี้ก็ชัดเจนอยู่ว่าทั้งสองศาลบอกว่าธนาคารไม่ผิด ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาลฎีกา ต่อไป
