เปิดชีวิต 3 ปี ที่ “เกริก ชิลเลอร์” หันหลังให้วงการ


โดย PPTV Online

เผยแพร่




“เกริก ชิลเลอร์” นักแสดงมากฝีมือ เปิดใจทำไมถึงเลือกทิ้งวงการบันเทิง เพื่อยึดอาชีพ “ช่างตัดผม” และลุยธุรกิจเต็มตัวมากกว่าอยู่เบื้องหน้าให้คนนิยมชมชอบ

หากพูดถึงตัวร้ายในละครที่เป็นที่จำจดของแฟนละครทั้งประเทศ แน่นอนว่าต้องมีชื่อของ “เกริก ชิลเลอร์” แต่ช่วง 3 ปีหลังมานี้ เขาเลือกหันหลังให้วงการบันเทิงที่อยู่มานานเกือบ 30 ปี เพียงเพราะเพื่อต้องการเลือกทำในสิ่งที่รัก “อาชีพตัดผม” ที่หลายคนอาจจะตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมผู้ชายคนนี้กล้าที่จะทิ้งแสง สี เสียงและรายได้มากมายในวันที่ยังกอบโกยได้ วันนี้เรามีคำตอบจากผู้ชายที่ชื่อ “เกริก” มาให้ฟัง

อัพเดทนิดนึงตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง

“ตอนนี้ผมก็ตัดผมครับแล้วก็มีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเองเป็นเจ้าของแบรนด์ Schiller Hair Product มี Product อยู่ 9 ตัว เดี๋ยวมีเปิดกล้องละครสิ้นเดือนนี้”

เรียกได้ว่ากลับมารับงานในรอบ 3 ปีไหม

“ใช่ครับ แล้วก็จะเจอหน้ามาตามรายการมากขึ้น ก่อนหน้านั้นรายการก็ไม่เอา พี่ไม่เอาเลยเพราะว่าเราจะตัดอะไรมันต้องหยุดให้ขาด ถ้ามันหยุดไม่ขาดมันจะไม่มีสมาธิทำ ซึ่งตอนนั้นผมทำธุรกิจแล้วก็ดูแลครอบครัว”

จากดาราสู่ บาเบอร์สุดติสท์ “เกริก ชิลเลอร์”

อะไรที่ทำให้ตัดสินใจแบบนั้น

“ด้วยความที่เราเป็นผู้ชาย เราเป็นหัวหน้าครอบครัว เราจะฝากชีวิตไว้กับการแสดงอย่างเดียวไม่ได้เพราะว่าอายุของนักแสดงมันจะมีเวลา เราแก่ตัวขึ้นมา ถ้าเราไม่ไหว ถ้าเราไม่ไหวขับรถไปถ่ายละครนั้นหมายความว่าทุกอย่างมันจบถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นเราไม่อยากมีจุดจบแบบนั้นไง เราอยากจะจบแบบถ้าเราไม่ไหวเราก็ยังมีรายได้เข้ามา เพราะฉะนั้นด้วยความเป็นผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัวเราก็ต้องทำธุรกิจให้มันแข็งแรง แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากัน ถึงแม้ว่าจะอยากเล่นละครอะไรมากแค่ไหนแต่ก็ต้องยอมเพื่อจะไปทำชีวิตเป็นของตัวเองให้เป็นแบบนั้นไปก่อน ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมาก็ปฏิเสธละครไปเยอะนะ”

เสียดายไหม

“ไม่เสียดายครับ แล้วก็ไม่คิดด้วย แล้วก็ไม่ได้นึกเสียดายเลยด้วย ถ้าไม่ได้กลับมาในวงการบันเทิงอีกจะกลับมาไม่ได้จะต่อไม่ติด ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย เพราะว่าผมเชื่อว่าคนเรามันทำอะไรก็ได้ ถ้ามันมีความตั้งใจจริงถ้ามันมีความมุ่งมั่นนะครับ ผมอยู่ในวงการบันเทิงมาตั้งแต่ ผมถ่ายโฆษณามาตั้งแต่อายุสิบสาม จนกระทั่งถึงตอนนี้คือมันยี่สิบเกือบสามสิบปี รับละครปีละ 13 เรื่องก็มี นึกออกไหมว่ามันก็จะมีทักษะแค่ในวงการ ซึ่งมันผมไม่อยากมีทักษะแค่ในวงการ ผมอยากมีทักษะทางด้านอื่นๆด้วย เหมือนมนุษย์ปกติทั่วไปเขาทำกัน ยกตัวอย่างเช่น มันจะต้องดูบัญชีเองยังไง ติดต่อข้าราชการยังไงเสียภาษียังไง มันจะต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างอะไรยังไง วิธีการจัดระบบในออฟฟิศมันจะต้องทำยังไงอย่างนี้ คือทุกอย่างที่ผมพูดมาในวงการละครมันไม่มี มันไม่มีสอนเรา มันสอนให้ผมรู้แค่การแสดงเป็นยังไง วิธีการทำงานของกองถ่ายเป็นยังไง วิธีคิดมันเป็นยังไง มันแค่นั้นเอง แต่พอหลุดออกมาจากโลกแห่งละครแล้วแล้วไปสู่โลกแห่งความจริง ผมมีความรู้สึกว่าผมทำไมไม่เก่งแบบคนนี้ ทำไมผมไม่ได้เป็นนักธุรกิจแบบคนนี้ ทำไมผมถึงจัดการอะไรไม่ได้ ถ้าผมไม่จ้างคนให้มาช่วยผมทำงานแล้วผมต้องทำเองนั้นแสดงว่าผมทำอะไรไม่เป็นเลยนะ เพราะฉะนั้นถ้าผมอยากจะสอนลูก สอนหลานได้นั้นแสดงว่าผมต้องทำเป็นก่อนในทุกๆขั้นตอนตั้งแต่เล็กๆไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆมันเป็นวิธีคิดของผมนะ มันก็ไม่รู้หรอกว่ามันถูกมันผิด แต่ว่าผมก็เซ็ทระบบนี้เพื่อครอบครัวของผมและตัวเอง”

หลายคนอาจจะมองว่าหรืองานเราน้อยลงหรือว่าอะไรที่หันเหไปอีกทาง

“ไม่ๆ ไม่เกี่ยวครับ งานมันเยอะจนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้าย คือผมมีระบบคิดแบบนี้ว่า ถ้าผมจะหยุดเอาวันที่งานเยอะกับหยุดเอาวันที่งานน้อย ถ้าเป็นคุณจะเลือกวันไหน ผมจึงเลือกหยุดในวันงานเยอะๆ ละครเรื่องสุดที่มันออกอากาศแล้วมันดัง ผมหยุดเลย คนจะได้จำผมในแบบตรงนั้น แทนที่ผมเล่นไปเรื่อยๆแล้วบทบาทผมเริ่มน้อยลงกลายเป็นตัวอะไรไม่รู้ แล้วผมก็ต้องมานั่งจำใจรับบทพวกนี้เพื่อความอยู่รอดผมว่ามันไม่ถูก ผมก็เลยหยุดให้มันอยู่ตรงนั้นดีกว่า แล้วเราไปทำอย่างอื่นได้ แต่ถ้ามันหยุดตอนที่ไปอยู่ข้างล่างไปทำอย่างอื่นมันไม่ได้”

เริ่มอาชีพตัดผมได้ยังไง

“มันเริ่มต้นมาจากว่างๆ แล้วตัดผมในกองถ่าย พอเริ่มตัดไปตัดมาเริ่มมีชื่อ คนก็เริ่มรู้ แรกดารายังไม่กล้าให้ตัด มีคนในกองถ่ายกับทีมงานแล้วก็เรียกช่างไฟ คนขับรถตู้ คนทำอาหารให้เขามาตัดก่อนจนเป็นที่รู้กัน พี่เกริกมาแล้วผมรอ พอไปถึงกองถ่ายก็จะมีคน พี่ผมก่อนนะ ก็จะมีต่อแถวอะไรแบบนี้ ก็จะเตรียมโต๊ะเตรียมเก้าอี้วางของไว้ พอถ่ายเสร็จรีบวิ่งมาตัด ด้วยความที่เราถ่ายละครเยอะระบบความจำบทมันก็จะมีการจำค่อนข้างเร็วไม่ได้ต้องท่องบทอะไร ดูหน้างานวางได้เลย

ซึ่งผมก็เรียนด้วย ตอนแรกฝึกด้วยตัวเอง ตัดด้วยตัวเองก่อน แล้วก็ต้องการความรู้เพิ่มเติม แล้วก็ไปเรียน ทุกวันนี้ยังต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาทุกๆวัน แล้วทุกๆวันนี้ก็ไม่ได้ตัดผมเลี้ยงชีพนะ คือการตัดผมของผมมันเป็นเพียงสนองความอยากเท่านั้นเอง มันคืองานศิลปะ แล้วผมจะชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานศิลปะ ลองสังเกตดูตั้งแต่ผมเลี้ยงปลาคราฟ ตั้งแต่ผมรับจัดสวน ทำอาหาร ผมชอบวาดรูปนู้นนี่นั้นทุกอย่างเป็นศิลปะหมด แล้วนี่ก็คือหนึ่งในศิลปะที่ท้าท้ายมาก มันจะยากขึ้นทุกๆวัน ในทุกๆหัว มันจะยากมาก มันไม่มีลูกค้าหัวไหนเลยที่จะง่าย ชิล เพราะว่าผมมันไม่เหมือนกัน มีอะไรให้คิดทุกๆวัน”

ชอบจนตัดสินใจเปิดร้าน

“ทุกวันนี้ร้านก็ไม่ได้เปิดจริงๆจังๆเป็นเรื่องเป็นราวนะ ก็คือผมจะมีสตูดิโออยู่ที่บ้านอยู่แล้ว ซึ่งสตูดิโอนี้ทำเพื่อสอนการแสดงเมื่อก่อน แล้วก็ไม่มีเวลาสอนในที่สุด แล้วก็มันก็โล่งอยู่แล้วก็มาทำเป็นที่ตัดผม เดี๋ยวเดือนมิถุนาจะย้ายไปข้างนอกก็จะเริ่มยุ่งละ”

จะมีขยายกิจการไหม

“ขยายกิจการ ถ้าอยากให้ชีวิตมันยุ่งมากกว่านี้ก็ต้องขยาย แต่ถ้าแฮปปี้กับทุกๆวันนี้แล้ว ก็ให้มันเป็นโลโก้อันเดียวดีกว่า เพราะมันขยายหลายๆสาขาแล้วมันคุมลำบาก มันจะมีแบรนด์ใหญ่ๆหลายๆแบรนด์ซึ่งเคยขายแฟรนไชส์แล้วตอนนี้ก็ต้องมานั่งซื้อแฟรนไชส์กลับมา”

ตอนนี้วันหนึ่งตัดกี่คน

ผมตัดสูงสุดคนเดียวก็ 15- 18 คน จริงๆ 10 คนก็เยอะแล้วนะ เพราะผมตัดผมคนหนึ่งผมใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะผมจะละเอียด แต่ละคนมาก็ให้ผมทำให้ทั้งนั้น แค่บอกความต้องการมานิดหน่อยแล้วเราก็แชร์กัน”

ก่อนหน้านี้ตัดผมให้กับผู้ป่วยโรคเอดส์ หลายคนชื่นชมเยอะมากไปทำได้ยังไง

“ใจเราจะทำให้เขาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมไม่เลือกหรอกครับ มันก็เริ่มจากการตัดผมในกองถ่าย แล้วโพสต์รูปลงในเพจผมไปเรื่อยๆวันนี้ตัดผมคนนี้มา ตัดนี้ๆ แบบนี้แล้วมันก็มีติดต่อเข้ามา มีพูดคุยกันเราสงสารก็ตัด คือจริงๆแล้วผมบอกให้นะ ตัดผมฟรีแบบนี้เราไม่รู้หรอกว่าใครเป็นอะไรมา เราไม่มีทางรู้ ลูกค้าที่เดินเข้ามาหาผมเราไม่มีทางรู้ว่าเขาเป็นอะไร เพราะฉะนั้นทำด้วยใจล้วนๆแล้วก็ ต้องมีสมาธิกับมันมากๆระวังตัวเองให้เยอะๆเวลาเราตัดผม เพราะเวลาเราตัดผม เราอยู่กับของมีคม เพราะฉะนั้นเรื่องเราตัดนิ้วมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องระวัง เพราะว่าเราไม่รู้ว่าใครเดินเข้ามาหาเราเป็นอะไร”

อย่างตัดให้ฟรีตอนนี้ยังฟรีอยู่ไหม

“มีๆเวลาพี่ไปนอนที่โรงแรมไหนไปต่างจังหวัด ส่วนใหญ่พี่ก็จะพกแบตตาเลี่ยนไร้สายไป พกกรรไกร พกหวีไป ผ้าคุมตัดผม ไปเจอเด็กไปเจออะไร มาตัดผมไหมๆ บางทีเราคันมือไง เราอยากตัดผมแล้วตอนนี้ เราก็จะเรียกคนมาตัด ตัดสักคนเราก็สบายใจแล้ว การตัดผมพี่ไม่ได้คิดเป็นมูลค่า ณ ตอนนี้บางคนพี่ก็ตัดฟรี บางคนพี่ก็คิดเงิน บางคนพี่ก็คิดเขาน้อยนิดนึง บางคนพี่ก็ไม่ตัดเพราะพี่ไม่ชอบหน้าเขา (หัวเราะ)  เพราะว่าพี่ถือว่าพี่ไม่ได้ตัด พี่ไม่ใช่อาชีพบังคับพี่ สิ่งที่ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวพี่ก็คือผลิตภัณฑ์ที่พี่ขาย ซึ่งมันดีขึ้นทุกๆวัน แล้วก็เปลี่ยนแปลงมันก็จะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้ก็จะเพิ่มขึ้นมาอีก 2-3 ตัว จะขยายอีกแบรนด์นึง”

เรียกว่าตอนนี้แฮปปี้กับการใช้ชีวิตแบบนี้
“แฮปปี้มาก พี่ทำงานที่บ้านแล้วก็จะมีบริษัทนึงที่ช่วยพี่ขายของ ซึ่งจะอยู่แถวๆรามอินทรา พี่ไม่ต้องขับรถไกล อะไรที่พี่ไม่ต้องขับรถไกลพี่แฮปปี้มาก เพราะพี่เพลียๆรับงานเพราะขับรถ อย่างปีนี้ขับรถอีกแล้ว

กลับมารับงานแล้ว อย่างงานตัดผมยังทำไหม
“ยังทำอยู่ ร้านใหม่เปิดเดือนมิถุนา ซึ่งพี่บอกกับละครเขาไปแล้ว ณ ตอนนี้คงรับทีละเรื่องก่อน ปีนี้ขอเรื่องนี้เรื่องเดียว เพราะว่าปีนี้ธุรกิจมันต้องโตอีกเยอะมาก ถ้าสุดๆเต็มที่ 2 เรื่อง ส่วนรายการจะไปพูดคุยกันมากนิดนึง เพราะเมื่อก่อนไม่พูดไม่ออกไปรายการไหนทั้งสิ้น เพราะว่าวันนั้นมันเป็นวันเริ่มต้นเราจึงคุยได้ไม่เต็มปากเต็มคำว่าจะไปยังไงแล้วมันจะประสบความ สำเร็จไหม แต่วันนี้มันก็อยู่ในระดับนึงแล้ว เราก็คุยได้”

ช่วงที่พักไปคิดถึงวงการไหม
“คิดถึงการแสดง พี่เกิดวันอังคารมีราหูเป็นเจ้าเรือน มันก็เป็นเรื่องของนักแสดงอยู่แล้ว หนีกันไม่พ้น ยังไงพี่ก็ต้องแสดง มันหยุดไม่ได้พี่ก็เชื่อว่า มันไม่มีใครลืมพี่ พี่อยากให้คนลืมพี่โดยที่พี่ไม่ออกทีวีเลย ลืมไปเลยฉันเป็นคนธรรมดาไม่ต้องมารู้จักฉัน ฉันโตแล้ว อย่าเห็นฉันเป็นบุคคลสาธารณะ ฉันไม่ชอบ แต่พอหยุดมาได้สัก 3 ปี ก็ยังเห็นผมเป็นบุคคลสาธารณะอยู่เหมือนเดิม ไปไหนก็ถ่ายรูปเหมือนเดิม พี่หนีไมได้” ( หัวเราะ )

พอใช้ชีวิตความเป็นตัวเองแล้วเป็นยังไงบ้าง
“ความเป็นฉันกลับมาได้ดีเลย มันเริ่มมาตั้งแต่พี่สักแล้ว เต็มตัวไปหมดเลย นั่นแหละ!! ฉันจะเอาความเป็นฉันกลับคืนมา สักเต็มตัวคิดว่าเขาจะไม่เรียกทำงาน เรียกเยอะกว่าเดิมอีก มันกลับกลายเป็นว่า เราเห็นแล้วว่าคุณเป็นยังไง เราอยากได้คุณนี่แหละ มันกลับกลายเป็นอย่างนั้น”

รู้สึกภูมิใจไหมที่คนรักที่ฝีมือเรา
“รู้สึกดีใจเขาชอบที่เราเล่น แม้เราเล่นเป็นตัวโกง เขาก็ไม่เคยเกลียดเรา ผมไม่รู้ว่าผมเป็นตัวโกงในประวัติศาสตร์หรือเปล่า ที่เล่นเป็นตัวโกงแล้วมีคนชอบ คือผมอยากเล่นให้คนเกลียดผมนะ แต่ทำไมคนมันหัวเราะ พี่เป็นคนเดินตลาดสดด้วย ป้าๆมา อุ้ย..ชอบเลยเล่นเป็นตัวร้าย ก็จะอย่างนี้ รู้สึกดีนะที่ไม่มีคนเกลียด มีคนรัก ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่คนดู มันอยู่ที่ตัวเรานี่แหละ บางที่ก็ติสท์นะ ใครๆก็ว่าพี่เป็นคนติสท์ แต่ถ้าพี่ติสท์พี่ก็ต้องไปอยู่ป่าคนเดียวแล้ว ถ้าติสท์มันก็อยู่ร่วมกันกับสังคมไม่ได้หรอก พี่ไม่ติสท์สิ พี่อยู่กับครอบครัว พี่แค่เป็นตัวของตัวเอง ยิ่งนับวันพี่ก็อยากได้ตัวของตัวเองกลับคืนมา แทนที่จะเป็นเด็กน้อยของผู้ใหญ่อยู่ตลอดเวลา”

ถามหน้าที่คุณพ่อ ลูกสาวโตหมดแล้วเป็นยังไงบ้าง
“เราก็ต้องดูแลกันต่อไปจนกว่าเขาจะยืนได้ด้วยตัวเอง จนกว่าเขาจะแสดงให้เราเห็นว่าขาสามารถที่จะดูแลทุกอย่างได้ พ่อไม่ต้องเป็นห่วง แต่ในความเป็นพ่อเป็นแม่มันห่วงกันตลอดชีวิตนั่นแหละ คนโต 16 สามสาว เขาจะเริ่มเป็นสาวเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เราเป็นพ่อเป็นแม่ต้องใจเย็นลง แล้วก็สงบปากสงบคำ แล้วเวลาจะพูดอะไรต้องคิดให้มากๆก่อนที่จะพูดในทุกๆครั้ง เพราะว่าเขาจะเริ่มเป็นตัวของตัวเอง”

วงการบันเทิงนี่เฉียดๆน้องบ้างไหม
“คนโตชอบร้องเพลงนะ มีเฉียดๆมาหลายค่ายแล้ว ก็เดี๋ยวรอดูเขาจะเลือกอะไร คงอีกไม่นาน เป็นค่ายที่มีคนเก่งๆ ซึ่งจริงๆลูกทุกคนผมไม่เคยบังคับว่าเขาจะต้องเป็นอะไร จะต้องเป็นใคร เขาจะต้องเรียนอะไร ตั้งแต่เด็กแล้ว ผมก็จะให้เขาลองเรียนดูว่าชอบไหม จนเขามาหยุดกันที่ดนตรีทั้ง 3 คน”

ช่วยลูกตัดสินใจในการรับงานไหม
“ในที่สุดแล้วเขาต้องเลือกเอง คือเราจะไม่มีอิทธิพลมากขนาดนั้น สำหรับการเลือกใช้ชีวิตของเขา มันเหมือนกับนักกีฬาของอเมริกาที่จะต้องหลุดจากมัธยมเข้าสู่มหาลัยเขาจะต้องเลือกทีม โดยที่พ่อแม่ต้องไม่มีส่วนกดดัน ตัวเขาต้องเป็นคนเลือกเอง ไม่ว่าจะถูกจะผิดยังไงมันคือประสบการณ์ ที่เขาต้องเรียนรู้ มีคนติดต่อลูกผมมาให้เล่นละครเยอะแยะตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ผมก็ไม่เคยให้ไป เพราะผมอยากให้เขามีการศึกษาเหมือนคนปกติทั่วๆไป และเขาสนใจอยู่กับการศึกษากับเพื่อนที่ไม่ใช่ดาราและคนในวงการบันเทิง ในวงการบันเทิงมันก็จะมีหลายมุม ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าลูกจะไปโดนมุมไหน เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดให้เขาใช้ชีวิตแบบปกติมนุษย์ธรรมดาทั่วๆไป เวลาที่เขาเข้าไปแล้ว แล้วเวลาที่เขาหลุดมา เขาจะได้ไม่เป๋ เพราะดาราที่ถูกสปอยล์มาตั้งแต่เริ่มแรก ประสบการณ์ผมเห็นมาเยอะ แล้วมันจะเป๋ ใครกลับมาได้ถือว่าโชคดี ใครกลับมาไม่ได้นี่มีเยอะมาก ผมเลยให้ลูกเรียนหนังสือ แล้วก็คอนเนคชั่นกับเพื่อนนอกวงการไป ยั่งยืนกว่าเยอะ”

ฝากถึงแฟนๆที่คิดถึงหน่อย
“เดี๋ยวก็ถ่ายละครแล้ว เดี๋ยวก็มีละครให้ดูแล้ว และก็จะพูดคุยกันมากขึ้น อาจจะไม่ได้เล่นละครเยอะเหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนรับเป็นอุตสาหกรรมมาก แต่จะพยายามมาเท่าที่กำลังไหว”

 

 

 

 

PR - ตารางคะแนน-2_B PR - ตารางคะแนน-2_B
TOP ประเด็นร้อน
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ