นายแพทย์โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยถึง กลุ่มผู้ป่วยที่จะทดลองใช้ ผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชา 2,500 ขวดแรกนั้น จะเป็นผู้ที่ใช้ทดลองทางคลินิกในผู้ป่วยที่ร่วมโครงการวิจัย โดยผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชาจะเป็นชนิดน้ำมันหยดใต้ลิ้น (Sublingual Drop) ขวดละ 5 มิลลิลิตร
ปลูกแล้ว!!! กัญชารักษาโรคต้นแรกในอาเซียน
เปิดสายพันธุ์ “กัญชา” ถูกกฎหมายต้นแรกของอาเซียน
ซึ่งประกอบด้วย 4 กลุ่มโรคคือ กลุ่มโรคที่มีผลข้างเคียงจากการให้เคมีบำบัด คลื่นไส้อาเจียน เช่น ลมชัก โรคลมชักรักษายากในเด็กและโรคลมชักที่ดื้อต่อยารักษา กลุ่มโรคปลอกประสาทอักเสบ ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง กลุ่มโรคเจ็บปวดเรื้อรัง ปวดประสาทที่รักษาด้วยวิธีต่างๆไม่ได้ผล กลุ่มที่น่าจะใช้เพื่อควบคุมอาการ ได้แก่ โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ กลุ่มผู้ป่วยที่ดูแลแบบประคับประคอง มะเร็งระยะสุดท้าย
ขณะเดียวกัน กรมการแพทย์เตรียมการวิจัยและทดลองสารสกัดจากกัญชาในกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยคาดว่าจะสามารถใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต
หากมีการผลิตยาที่สกัดจากกัญชาออกมาใช้รักษาโดยทั่วไปแล้ว การคัดเลือกผู้ป่วยที่จะต้องทำตามข้อบ่งชี้ว่ามีโรคอะไรบ้าง โดยจะมีคณะกรรมการดูแล และต้องผ่านการอบรมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำตามแนวทางที่กำหนดและทั้งหมด แต่สำคัญที่สุดคือต้องขึ้นอยู่กับคนไข้
ประกาศ! นิรโทษกรรมผู้ครอบครอง “กัญชา”
องค์การเภสัชกรรม ย้ำว่า ยาที่สกัดจากกัญชาไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นยาสมัยใหม่ทันทีจะต้องผ่านทำวิจัยอีกหลายปี ส่วนยากัญชาที่ใช้แบบเพียวๆ ยังเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายต้องมีการควบคุมดูแล
ท้ายที่สุดแล้ว การปลูกกัญชาทางการแพทย์ครั้งนี้ เป็นการปลูกเพื่อนำไปใช้ในการศึกษาวิจัย พัฒนา ด้านต่างๆ ทั้งด้านการศึกษาวิจัยการปลูก พัฒนาสายพันธุ์ ด้านเทคโนยีการสกัดเป็นสารสกัดต้นแบบกัญชาทางการแพทย์ ด้านการนำไปใช้ในการวิจัยทดลองทางคลินิกของคณะแพทย์ผู้วิจัยในสาขาโรคต่างๆ ส่วนการจำหน่ายจะต้องควบคุมโดยองค์กรเภสัชกรรมดูและจะต้องเป็นราคาที่เข้าถึงได้ เช่น ราคาซีซีละ 100-200 บาท