ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นักการเมืองแกะกล่องจากพรรคอนาคตใหม่ เขาเป็นผู้ที่แสดงความปราถนาอย่างสูงที่จะเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ในมุมหนึ่งเขาเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง แต่อีกมุมหนึ่งเขาก็ตกเป็น “ตำบลกระสุนตก” เพราะการเคลื่อนไหวเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ทุกคนที่ถูกใจ
ธนาธร มีเครื่องหมายการค้าหนึ่งที่ติดตัวคือ การที่นามสกุลของเขาคือ “จึงรุ่งเรืองกิจ” คล้ายกับ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” เพราะเป็นอาหลาน แม้ “สุริยะ” จะเคยเป็นนักการเมืองขั้ว “ไทยรักไทย” แต่ปัจจุบันเขาอยู่กับพลังประชารัฐ และในความเป็น “จึงรุ่งเรืองกิจ” ต้องบอกว่า เขาเป็น “ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท บริษัทส่งออกอะไหล่รถยนต์ลำดับต้นๆของประเทศ เป็นธุรกิจที่แยกออกมาจากกงสี “ซัมมิท” ที่ “สุริยะ” สังกัด
“ธนาธร” สืบทอดธุรกิจ จาก “สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” ผู้เป็นมารดา ปัจจุบันเขาอายุ 41 ปี ถือเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ แต่เขาไม่ใช่คนหน้าใหม่ของวงกิจกรรม เพราะเขาเป็นนักกิจกรรมตั้งแต่สมัยศึกษาอยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2542 ธนาธรได้รับเลือกเป็นอุปนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) และในปี พ.ศ. 2543 ได้รับเลือกเป็นรองเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)[5]
เขาศึกษาระดับปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทใบที่ 2 สาขาการเงินระหว่างประเทศ ที่โรงเรียนธุรกิจสเติร์น มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐ และศึกษาต่อปริญญาโทใบที่ 3 สาขากฎหมายธุรกิจระหว่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัยซังคท์กัลเลิน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์[6]
เมื่อสำเร็จการศึกษา เขาเข้าทำงานในองค์การนอกภาครัฐกลุ่มเพื่อนประชาชน (FOP) ได้พักหนึ่ง แต่เมื่อบิดาเสียชีวิตเขารับมาบริหารธุรกิจของครอบครัว
ธนาธรร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง และที่ถูกจับตาคือการเคลื่อนไหวในฐานะผู้ร่วมชุมนุมเมื่อปี 2553 จนถูกนำมาโจมตีในเวลาต่อมา
ธนาธรเป็นผู้ชื่นชอบกีฬาเอ็กซ์ตรีม เขาเคยพยายามพายเรือคายักข้ามอ่าวไทย แต่ไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้เขายังพิชิตยอดเขามาแล้วทั่วโลก
ส่วนการเมืองเขาประกาศชัดว่ามีแนวคิดต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหาร และจับมือกับ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” นักวิชาการหนุ่มจากกลุ่ม “นิติราษฎร์” ตั้งพรรคอนาคตใหม่ และรวบรวมผู้สมัครรับเลือกตั้งจากคนที่ไม่เล่นการเมือง ครั้งนี้เขาถือว่าเป็น “คนหนุ่ม” ที่น่าจับตามองที่สุด