“อภิสิทธิ์” คล้ายถูกบ่มเพาะมาให้เป็นนายกรัฐมนตรีของไทย เพราะตั้งแต่เด็กเขาเรียกที่ประเทศอังกฤษในโรงเรียนระดับสูงอย่าง “อีตัน” จากนั้นจึงได้เรียนต่อในระดับ ปริญญาตรีในสาขาวิชาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด โดยได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง นับเป็นคนไทยคนที่ 2 ที่ได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในสาขาวิชานี้ ต่อจากพระยาศรีวิสารวาจา (หุ่น ฮุนตระกูล) จากนั้นเขาได้กลับมาเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ก่อน จะกลับไปเรียนต่อปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดอีกครั้ง จากนั้นจึงกลับมาเป็นเป็นอาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[21]
ส่วนเส้นทางทางการเมืองของอภิสิทธิใช่วงต้นเรียกได้ว่าสวยสดงดงามอย่างยิ่ง เขาเริ่มอต้นด้วยการเป็นอาสาสมัครช่วยหาเสียงให้กับพิชัย รัตตกุล ได้เข้าช่วยงานด้านวิชาการในเรื่องแผนพัฒนาเศรษฐกิจให้กับชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น และลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็น ส.ส. กรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ. 2535 ขณะมีอายุได้เพียง 27 ปี และเป็นหนึ่งเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ใน กทม. ที่ฝ่ากระแส “จำลองฟีเวอร์" เข้ามาได้ และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เขาก็ได้ร่วมคัดค้านการสืบทอดอำนาจของพลเอก สุจินดา คราประยูร
ส่วนตำแหน่งทางการเมืองอื่นเขาเคยเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ต่อมาในปี 2548 พรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดยนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ได้แพ้เลือกตั้งแก่รัฐบาลไทยรักไทย นายอภิสิทธิ์ จึงได้เป็นหัวหน้าพรรค
อย่างไรก็ตามในปี 2549 เขาได้นำประชาธิปัตย์บอยคอตต์การเลือกตั้ง จากนั้นในการเลือกตั้งปี 2550 ประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของเขาก็พ่ายแพ้แก่พรรคพลังประชาชน แต่ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน ทำให้ “อภิสิทธิ์” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ภายใต้ข้อครหาจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
ในช่วงที่เขาเป็นนายกฯ ต้องเผชิญกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงถึงสองครั้งคือปี 2552 และ 2553 และเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นในปี 2553 เมื่อการชุมนุมครั้งนั้นมีคนตายเป็นจำนวนมาก
หลังการเลือกตั้งปี 2554 เขาพ่ายแพ้ต่อพรรคเพื่อไทย แต่ก็ยังได้รับความไว้วางใจให้เป็นหัวหน้าพรรคต่อและดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน และต่อมาวิกฤตการเมือง 2556 – 2557 พรรคประชาธิปัตย์ก็บอยคอตต์การเลือกตั้งอีกครั้ง ขณะที่ ส.ส. จำนวนหนึ่งก็ไปเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับกลุ่ม กปปส. ซึ่งเป็นผลให้เกิดการรัฐประหารปี 2557
อย่างไรก็ตามในปี 2561 เขาได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขามีคู่แข่งคือ น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม และ นายอลงกรณ์ พลบุตร
และครั้งนี้เขามีท่าทีที่แข็งกร้าวขึ้นและปฏิเสธการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลทหาร
อย่างไรก็ตามหลังการเลือกตั้งปี 2562 แม้ผลการเลือกตั้งจะไม่ออกอย่างเป็นทางการ แต่ก็ชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้ตามเป้า เขาจึงประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคในวันที่ 24 มี.ค. 2562
ทั้งนี้ผู้ชมสามารถติดตามการประชันวิสัยทัศน์ ผ่าสนามเลือกตั้ง ดีเบตโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ ได้ในวันที่ 6 มีนาคม 2562 เวลา 17.30 น. เป็นต้นไป