เปิดไทม์ไลน์ หญิง 51 ปีชาวสิงห์บุรี ติดโควิด-19 พบผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 4 ราย
ด่วน! เชียงใหม่พบชาย 32 ปี ติดโควิด-19 ทำงานในท่าขี้เหล็ก ลอบข้ามพรมแดน
การตัดพ้อของนายโชคชัย ใบยพฤกษ์ อายุ 36 ถึงการทำคดีของตำรวจ สน.พหลโยธิน จากเหตุการณ์ที่ภรรยาถูกรถเมล์ ขสมก. ทับเสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2563 แต่หลังสอบปากคำในวันเกิดเหตุเสร็จสิ้นและพยายามทวงถามความคืบหน้ากับร้อยเวรเจ้าของคดี กลับถูกบ่ายเบี่ยง โทรศัพท์ก็ไม่รับสาย มาตามถึงโรงพักก็ไม่เจอ จนกระทั่งวันที่ 3 ธันวาคม ตัดสินใจมานอนกลางสี่แยกรัชโยธิน จุดเกิดเหตุ โดยหวังว่าสื่อจะให้ความสนใจและเข้ามาช่วยเหลือ
นายโชคชัย เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุอาศัยอยู่ในห้องเช่ากับภรรยาและลูกชายคนเล็กวัย 8 ขวบ ส่วนลูกชายคนโตอายุ 17ปีอาศัยอยู่กับแฟน และตัวเองเคยเป็นช่างไฟฟ้า แต่ตกงานมาได้หลายเดือนเพราะการระบาดของโควิด-19 ทำให้ภรรยาเป็นเสาหลักของครอบครัว วันเกิดเหตุ 15 ตุลาคม ลูกชายคนโตขี่รถจักรยานยนต์มารับแม่ไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ห้าแยกลาดพร้าว [MOS]เมื่อมาถึงแยกรัชโยธิน รถไปเฉี่ยวกับรถเมล์ ขสมก. สาย 39 จนล้ม ภรรยาถูกล้อรถเมล์เหยียบศีรษะเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ หลังเกิดเรื่องได้เข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ซึ่งได้สอบปากคำลูกชายและคู่กรณี จากนั้นได้นำร่างภรรยากลับไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งคนขับรถเมล์ได้มาร่วมพิธีด้วย แต่ไม่ได้ช่วยเหลือเยียวยาโดยให้เหตุผลว่าเป็นเพียงพนักงาน ขสมก. การเยียวยาขึ้นอยู่กับต้นสังกัด จนถึงวันนี้ยังไม่ได้รับการเยียวยาใด ๆ จนเจ้าของห้องเช่าให้ย้ายออกเพราะค้างค่าเช่ามา 2 เดือน เมื่อวานนี้เดิมทีตั้งใจจะเดินทางกลับจังหวัดร้อยเอ็ดแล้ว แต่ตัดสินใจลองสู้เป็นครั้งสุดท้ายโดยมานอนประท้วงที่จุดเกิดเหตุโดยนายโชคชัย กล่าวเชิงประชดประชันว่า หากมานอนประท้วงขนาดนี้แล้วคดียังไม่ได้รับความสนใจ จะแขวนคอตายตามภรรยาไปอีกคน เพื่อจะพิสูจน์ว่ากระบวนการยุติธรรมจะคืนความเป็นธรรมให้ได้หรือไม่
ด้าน พ.ต.ท.วิโรตม์ ผลบุญ รอง ผกก.สน.พหลโยธิน เมื่อทราบเรื่องก็ได้ออกมาพูดคุยกับนายโชคชัย ยืนยันว่าที่ผ่านมาคดีไม่ได้เงียบ แต่อยู่ระหว่างรอผลรายงานชันสูตรพลิกศพจากนิติเวช คาดว่าจะส่งฟ้องศาลได้ภายใน 1 เดือน พ.ต.ท.วิโรตม์ ระบุว่า ได้สอบถามร้อยเวร ยืนยันว่า ได้พูดคุยกับผู้เสียหายอยู่ตลอด ซึ่งหลังจากนี้ หากผู้เสียหายติดต่อร้อยเวรไม่ได้ ให้ติดต่อตนเองโดยตรง ยืนยันว่าจะเร่งติดตามคดี โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างคนต่างประมาท เพราะฝ่ายรถจักรยานยนต์มาจากทางถนนรัชดาภิเษก จะเลี้ยวซ้ายเข้าถนนพหลโยธิน ส่วนรถเมล์มาทางตรงจากแยกเกษตรมุ่งหน้าห้าแยกลาดพร้าว โดยลูกชายของผู้เสียชีวิตที่ขี่รถจักรยานยนต์มาไม่มีใบขับขี่ และรถไม่มี พ.ร.บ. ทำให้ไม่สามารถเบิกค่าเสียหายได้ ส่วนทาง ขสมก. ล่าสุดทางรองผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน ได้ติดต่อเพื่อให้เข้ามาพูดคุย จะเข้าพบเพื่อเจรจากับนายโชคชัย ที่ สน.พหลโยธิน ในวันอังคารที่ 8 ธันวาคมนี้ ซึ่งจะช่วยเหลือแค่ไหนขึ้นอยู่กับทาง ขสมก. เพราะเป็นกรณีประมาทร่วม ไม่ใช่ ขสมก. ประมาทฝ่ายเดียว
ทีมข่าว PTTV สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่สถานีปล่อยรถโดยสาร อู่รังสิต ซึ่งเป็นต้นทางปล่อยรถเมล์สาย 39 เปิดเผยว่า ผอ.ขสมก. ได้เรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประชุมสอบถามข้อเท็จจริงและพูดคุยเรื่องการเยียวยาผู้เสียหายในช่วงบ่ายวันนี้ โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนขับยืนยันไม่ได้ประมาท แต่ฝ่ายรถจักรยานยนต์เบียดแทรกรถเก๋งมาทางข้างรถ ผู้เสียชีวิตล้มในลักษณะศีรษะสอดใต้ท้องรถจึงถูกล้อหลังเหยียบ
ขณะที่นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. ยืนยันว่า ขสมก. ไม่ได้นิ่งนอนใจ และไม่ได้ทอดทิ้งฝ่ายผู้เสียหาย ก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ติดต่อให้ความช่วยเหลือ เพราะไม่สามารถติดต่อได้ แต่ล่าสุด วันนี้สามารถติดต่อได้แล้ว เบื้องต้นนายสุระชัย บอกว่า หลังเกิดเหตุคนขับรถเมล์คู่กรณี ได้ไปร่วมแสดงความเสียใจ พร้อมขอขมาในงานศพผู้เสียชีวิต ที่ จ.ร้อยเอ็ด และ มอบเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท ส่วนการช่วยเหลือจาก ขสมก. ต้องรอผลสืบสวนสอบสวนจากสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปติดตามความคืบหน้าที่สถานีตำรวจมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ไม่ได้คำตอบ ยืนยันว่า พร้อมดูแลค่าเสียหาย เพราะรถเมล์ของคู่กรณีมีประกันพร้อมจ่ายค่าเสียหายให้ทันที หากพบว่าฝ่ายรถเมล์เป็นฝ่ายผิด ส่วนในทางระเบียบ ของ ขสมก. เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีการชี้ผิดชี้ถูก จึงยังไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน แต่คนขับรถเมล์ หลังไปร่วมงานศพผู้เสียชีวต เมื่อกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้ขอเปลี่ยนไปทำตำแหน่งกระเป๋ารถเมล์ในสายเดินรถเดิมแทนจนถึงปัจจุบันนี้
สำหรับกรณี ขสมก. ไม่ได้เยียวยาค่าเสียหาย ทีมข่าว PPTV พูดคุยกับ นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ เครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เปิดเผยว่า หากพยานหลักฐานพบเป็นการประมาทร่วม คือทั้งฝ่ายคนขับรถเมล์ และผู้เสียชีวิต ต่างคนต่างประมาท ปกติแล้วต่างฝ่ายจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเอง แต่เมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา ศาลฎีกาเพิ่งเปลี่ยนแนวทาง อาจวินิจฉัยให้คู่กรณีชดเชยผู้เสียชีวิตบางส่วนตามสมควร แต่หลักการนี้ต้องพิจารณาเป็นกรณีไป อาจจะได้รับการชดเชยหรือไม่ก็ได้ ส่วนกรณีผู้เสียหายมองว่าคดีล่าช้า นายรณณรงค์ ให้ความเห็นว่า 2 เดือน ไม่ถึงกับล่าช้า เป็นกรอบเวลาปกติ เพราะตำรวจต้องรอผลนิติวิทยาศาสตร์ของพยานหลักฐานต่าง ๆ ด้วย เช่น ลายพิมพ์นิ้วมือ ซึ่งหากล่วงเลยมา 3-4 เดือนแล้วยังไม่คืบหน้าจึงจะถือว่าล่าช้า อย่างไรก็ตาม หากผู้เสียหายต้องการเอาผิดทางวินัยกับร้อยเวรที่ไม่สามารถติดต่อถามความคืบหน้าคดีได้ สามารถร้องทุกข์กับผู้กำกับการ สน.พหลโยธิน เป็นลายลักษณ์อักษรให้ลงโทษทางวินัยได้