ด้วยคาแรคเตอร์ของแอปพลิเคชัน Club house คือการสร้างห้อง private limit room กำหนดสมาชิกที่เข้าไปในห้องได้ไม่เกิน 6,000 คน พร้อมตั้งหัวข้อที่น่าสนใจขึ้นมา ซึ่งมีความหลากหลายมากโดยในห้องจะประกอบด้วย Moderator หรือ ผู้ดูแล, Speaker หรือ ผู้พูด/วิทยากร และ Audience ผู้ฟัง
รู้จัก Clubhouse แอปพลิเคชันมาแรงที่ใช้ "เสียง" เป็นตัวหลักในการสื่อสาร
“ดีอีเอส” เตือน ใช้แอปฯ “Clubhouse” อย่าละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น ระวังผิดกฎหมาย
มาพูดถึงช่องโหว่และความสุ่มเสี่ยงที่อาจถูกบิดเบือนข้อมูลได้ อ.ไพบูลย์ อธิบายว่า ผู้พูดจะใช้เสียงเป็นตัวสื่อสารเท่านั้น ตามแนวคิดของผู้คิดค้นแอปพลิเคชันคือ Drop-in audio chat จุดเด่นคือ พูดแบบสดๆ ไม่มีการบันทึกเสียงใดๆ ไม่สามารถฟังย้อนหลังได้ ทำให้แอปพลิเคชันนี้ได้รับความนิยมขึ้นมาทันที เพราะหลายๆ ห้องที่ถูกสร้างขึ้นมาผู้พูดมักพูดข้อมูล Exclusive ต่างๆ ซึ่งอาจเป็นข้อมูลทางการเมือง ความมั่นคง หรือการพูดพาดพิงถึงบุคลอื่น ฯลฯ
ขณะที่ ผู้ฟังบางคน อาจฉวยโอกาสใช้ช่องโหว่ตรงนี้บันทึกเสียงผู้พูดด้วยอุปกรณ์อื่นๆ และนำไปตัดต่อบิดเบือนได้ ซึ่งในตอนช่วงแรกผู้พูดอาจพูดพาดพิงบุคคลอื่นในทางเสียหาย พูดข้อมูลหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ข้อมูลที่กระทบต่อความมั่นคง แม้ในตอนท้ายอาจจะมีการพูดว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริงหรือเป็นความจริงบางส่วน ฯลฯ แต่ก็สุ่มเสี่ยงถูกนำมาตัดต่อคลิปเสียงเพื่อบิดเบือนในภายหลังได้
อ.ไพบูลย์ จึงแนะว่า ให้ผู้พูดบันทึกเสียงตนเองด้วยทุกครั้งเพื่อเป็นหลักฐาน หากมีการนำมาตัดต่อบิดเบือนและเผยแพร่ในภายหลัง มีเช่นนั้นแล้วจะเป็นการยากมากที่จะพิสูจน์ในทางคดีเนื่องจากตัว แอปพลิเคชัน Clubhouse ไม่สามารถบันทึกเสียงด้วยตัวเองได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้กระทำการอัดเสียงและนำมาตัดต่อบิดเบือน การกระทำดังกล่าวถือว่าผิด พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 อาจเข้าข่ายกระทำความผิดในมาตรา 14
นอกจากนั้นแล้ว ช่องโหว่จากการกรอกข้อมูล แอปพลิเคชัน Club house ต้องกรอกข้อมูลจริงก่อนเข้าใช้งาน เช่น ชื่อ นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์ รูปภาพ ซึ่งไม่มีข้อความขึ้นแจ้งว่าจะไม่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลใดๆ เลย
“ จึงไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ข้อมูลของผู้ใช้นั้นถูกนำไปเก็บไว้ที่ใด หรือ ถูกนำไปใช้อะไรบ้าง เพราะธรรมชาติของโปรแกรมเหล่านี้ผู้พัฒนาแอปพลิเคชันต้องมีการ Back up ข้อมูลหรือมีเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลไว้อยู่แล้ว”
ล่าสุด Stanford Internet Observatory ศูนย์สังเกตการด้านอินเทอร์เน็ต มหาวิทยาลัยสแตนด์ฟร์อด รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ หรือ SIO สงสัยว่า Agora ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพเซี่ยงไฮ้ ขาย “แพลตฟอร์มการมีส่วนร่วมด้วยเสียงและวิดีโอแบบเรียลไทม์” จาก แอปพลิเคชัน Club house ให้รัฐบาลจีน
แอปพลิเคชัน Clubhouse อาจมีช่องโหว่ให้รัฐบาลจีนเข้าถึงข้อมูล
และหลายครั้งข้อมูลส่วนตัวก็มักถูกนำไปส่งต่อเพื่อหาผลประโยชน์ทางการค้า การโฆษณาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแอปพลิเคชัน Clubhouse หรือ แอปพลิเคชันต่างๆ เช่น แอปพลิเคชัน Telegram ที่ต้องการการยืนยันตัวตนที่ชัดเจน เพื่อเรียกความน่าเชื่อถือกับผู้ติดตาม เช่น กลุ่ม Influencer คนดัง คนมีชื่อเสียง หรือกลุ่มคนที่มีอิทธิิพลต่อความคิิด กลุ่มคนเหล่านี้มักจะเป็นผู้พูด ข้อมูลตัวตน หรือ แม้กระทั่งเสียงที่แสดงความเห็นต่างๆ ย่อมมีความสุ่มเสี่ยงมากเช่นกัน
ทวงถาม “กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”
ด้วยความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับการใช้ แอปพลิเคชันต่างๆ เหล่านี้ อ.ไพบูลย์ ได้กล่าวทิ้งท้ายและทวงถามไปยังรัฐบาลถึง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วน