จากกรณี น.ส. เพ็ญพิไล บุญเสร็จ อาชีพผู้ช่วยสัตวแพทย์ ร้องเรียนอ้าง ถูกนายจ้างไล่ออกจากโรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งย่านท่าอิฐ ต.บางรักน้อย อ.เมืองนนทบุรี หลังจากลางานไปฝากครรภ์วันที่ 6 ก.ย.2564 เนื่องจากมีอาการแพ้ท้อง แต่โดนใบเตือนจากที่ทำงานส่งมาในวันที่ 13 ก.ย.2564 และถูกนายจ้างส่งใบไล่ออกให้ในวันที่ 14 ก.ย 2564
ในวันนี้ ( 16 ก.ย. ) น.ส. เพ็ญพิไล เดินทางมาทำงานตามปกติที่โรงพยาบาลสัตว์ดังกล่าว ปรากฏว่าทางนายจ้างไม่ให้ทาง น.ส.เพ็ญวิไล เข้าทำงานต่อและได้เซ็นใบลาออกให้พ้นจากพนักงาน
"โรคกลัวเชื้อ" ภาวะทางจิตที่คนในยุคโควิด 19 อาจเป็น
น.ส.เพ็ญพิไล กล่าวว่า วันนี้จะมาทำงานปกติ ตามกฎหมายที่ทางนายจ้างไม่สามารถไล่หญิงตั้งครรภ์ออกจากงานได้ แต่ตอนมาถึง แฟนของนายจ้างที่ไล่ตัวเองออกจากที่ทำงาน แจ้งว่า ให้พ้นสภาพจากพนักงาน แล้ว จึงได้กล่าวโต้ตอบไป ซึ่งหมอที่เป็นนายจ้าง ยังไม่ได้เซ็นใบพ้นสภาพการทำงานให้
หลังจากนั้น น.ส.เพ็ญพิไล พร้อมด้วย ทนายโป้ง นายเกียรติคุณ ต้นยาง ประธานชมรมทนายจิตอาสา เดินทางไป กรมแรงงาน เพื่อร้องเรียน ดำเนินคดีตามกฎหมายและเรียกร้องสิทธิคุ้มครองค่าเสียหายต่าง ๆ
หลังจากนี้จะมี พนักงานตรวจแรงงาน รวบรวมคำให้การและมีหนังสือแจ้งไปทางนายจ้าง มาชี้แจง หากผิดตามระเบียบ จะมีการดำเนินคดีโดยนิติกรของแรงงานนนทบุรี แจ้งความดำเนินคดีอาญากับนายจ้างต่อไป
เบื้องต้น พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ช่วยเหลือมอบเงินสงเคราะห์กรณีฉุกเฉินและถุงยังชีพให้กับน.ส.เพ็ญพิไล บุญเสร็จ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นก่อน
หากย้อนไปดูข้อมูลจากโรงพยาบาลสัตว์ ที่น.ส.เพ็ญพิไล ร้องเรียนนั้น เบื้องต้น มีหลักฐาน เป็นหนังสือแจ้งให้พ้นจากการเป็นพนักงาน โดยระบุสาเหตุว่า พนักงานไม่สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบการทำงานของบริษัทได้ เช่น
ลางานบ่อยในระหว่างทดลองงาน ลาป่วย โดยส่งใบรับรองเเพทย์ย้อนหลัง และโกหกผู้บังคับบัญชา เรื่องการเข้ารับการตรวจรักษา พนักงานนำงานส่วนตัวมาทำในที่ทำงานทางโทรศัพท์ในเวลางานของบริษัทเป็นประจำ เป็นการเบียดบังเวลาทำงานของทางบริษัทในขณะปฏิบัติหน้าที่ เมื่อผู้บังคับบัญชาออกหนังสือแจ้งเตือนเพื่อให้ปรับปรุงการทำงาน เเสดงอาการถึงการไม่สำนึก และเเสดงความไม่พร้อมที่จะปรับปรุงตัวเอง และ เเสดงกิริยากระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชา พูดจาข่มขู่ว่าจะทำให้ชื่อเสียงของที่ทำงานเสียหาย หากเลิกจ้าง ยกเลิกการทดลองงาน ให้ออกจากงาน
พร้อมกับลงท้าย ว่า หากพนักงานคนดังกล่าวได้ไปกระทำหรือมีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของบริษัท ทางบริษัทจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
