กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนหลังเฟซบุ๊กแฟนเพจ พิสูจน์บั้งไฟพญานาค ของสมภพ ขำสวัสดิ์ และทีมงาน ได้มีการออกมาเปิดเผยเรื่องราวปรากฎการ "บั้งไฟพญานาค" ที่จะเกิดขึ้นกิดขึ้นใน ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา ของทุกปี โดยระบุว่า "พิสูจน์มา 10 ปี ไม่ซ้ำที่ คนยิงก็ยังคงยิงไป คนเฮก็ยังคงเฮไป" พร้อมนัดหมายยื่นหนังสือเพื่อให้ทางสถานทูตลาว เพื่อให้ทำการตรวจสอบ 25 หมู่บ้าน ที่คาดว่าจะเป็นผู้ยิงลูกปืนส่องแสง จนทำให้คนฝั่งไทยเข้าใจว่าเป็น "บั้งไฟพญานาค"
บรรยากาศบวงสรวงอัญเชิญพญานาค-จับจองที่นั่ง อ.โพนพิสัย หนองคาย (คลิป)
พุทธศาสนิกชนร่วมตักบาตรเทโวฯวันออกพรรษา
เมื่อพูดถึง "บั้งไฟพญานาค" ทุกคนต่างต้องมุ่งหน้าไปยัง จังหวัดหนองคาย และบึงกาฬ เพราะจุดนี้ถือเป็นชัยภูมิที่ดีที่สุดในจังหวัดริมแม่น้ำโขงที่จะเห็นบั้งไฟพญานาคได้ชัดเจน โดยเฉพาะที่จังหวัดหนองคาย จัดเป็นงานประจำปีแบบยิ่งใหญ่ และมีผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนหลายพันคน มาเฝ้าจับตาดูลูกไฟ พุ่งขึ้นจากกลางลำน้ำโขง โดยขนาดของลูกไฟแต่ละลูก จะมีตั้งแต่เล็กเท่าหัวแม่มือ กระทั่งขนาดเท่าฟองไข่ไก่ พุ่งสูงประมาณ 1-30 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที แล้วหายไปโดยไม่มีการโค้งลงมา
และสิ่งที่ทำให้ "บั้งไฟพญานาค" เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ก็น่าจะเป็นเมื่อปี 2545 ที่ จิระ มะลิกุล ได้นำหยิบเรื่องราวความเชื่อของชาวบ้านท้องถิ่นในแถบอีสาน มาทำเป็นภาพยนตร์เรื่อง 15 ค่ำ เดือน 11 จนถูกชาวหนองคายต่อต้าน โดยระบุว่ามีการบิดเบือนเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ "บั้งไฟพญานาค"
สำหรับที่มาของบั้งไฟพญานาค ได้มีการเล่าขานต่อกันมา ว่า ในสมัยพุทธกาล มีพญานาคตนหนึ่งซึ่งมีนิสัยดุร้าย มีพิษร้ายแรงในตัวถึง 64 ชนิด สามารถอาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาลได้ โดยพญานาคตนนี้ได้มีโอกาสนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วเกิดศรัทธา จึงเลิกนิสัยดุร้าย ก่อนแปลงกายเป็นมนุษย์ของบวชเป็นพระภิกษุ และด้วยความเป็นสัตว์เดรัจฉาน จึงไม่สามารถบวชได้ นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงขอถวายคำว่า นาค ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน และปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ
และเมื่อครั้งที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จกลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากเสด็จไปโปรดพุทธมารดาจนครบ 1 พรรษา (3 เดือน) มายังโลกมนุษย์ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เหล่าบรรดาพญานาคี นาคเทวี พร้อมทั้งเหล่าบริวารจึงจัดทำเครื่องบูชา และพ่นบั้งไฟถวาย ซึ่งต่อมาชาวบ้านเรียกว่าบั้งไฟพญานาคนั่นเอง
ขณะที่ทางวิทยาศาสาตร์ ได้มีงานวิจัยของไทยหลายฉบับสรุปว่า บั้งไฟพญานาค คือก๊าซมีเทน-ไนโตรเจนเกิดจากแบคทีเรียที่ความลึก 4.55–13.40 เมตร อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส ปริมาณออกซิเจนน้อย ในวันที่เกิดปรากฏการณ์มีแดดส่องช่วงประมาณ 10, 13 และ 16 นาฬิกา มีอุณหภูมิมากกว่า 26 องศาเซลเซียสทำให้มีความร้อนมากพอย่อยสลายสารอินทรีย์ และจะมีก๊าซมีเทนจากการหมัก 3–4 ชั่วโมง มากพอให้เกิดความดันก๊าชในผิวทรายทำให้ก๊าซจะหลุดออกมาและพุ่งขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำ ฟองก๊าซที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำบางส่วนจะฟุ้งกระจายออกไป ส่วนแกนในของก๊าซขนาดเท่าหัวแม่มือจะพุ่งขึ้นสูงกระทบกับออกซิเจน รวมกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงยามกลางคืนทำให้เกิดการสันดาปอย่างรวดเร็วจนติดไฟได้
ด้าน น.พ.มนัส กนกศิลป์ กล่าวในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2538 ว่า "บั้งไฟพญานาคน่าจะเป็นสสาร และจะต้องมีมวล เพราะแหวกนํ้าขึ้นมาได้ จึงน่าจะเป็นก๊าซไม่มีสี ไม่มีกลิ่น จุดติดไฟได้เอง และต้องเบากว่าอากาศ" เขายังพบว่าความเป็นกรดด่างของน้ำในแม่น้ำโขงสอดคล้องกับระบบนิเวศน์ที่จะเกิดการหมักมีเทน ซึ่งเขาเคยไปวางทุ่นดักก๊าซในแม่น้ำโขง และพบว่าก๊าซที่ดักได้ในแม่น้ำโขงสามารถนำไปจุดติดไฟ จะเกิดการพุ่งวูบขึ้นมีสีออกเป็นแดงอมชมพู ส่วนคำถามที่ว่าทำไมบั้งไฟพญานาคถึงเกิดขึ้นในคืนวันออกพรรษา เขาบอกว่าในคืนนั้นมีอ็อกซิเจน ก๊าซที่ช่วยให้ติดไฟสูงสุดในรอบปี ซึ่งก็เกิดจากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงพลังงานรังสีของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และโลก
มีคำอธิบายที่คล้ายกันเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่ใกล้เคียงในฟิสิกส์พลาสมา (plasma physics) โดยเป็นลูกพลาสมาลอยอิสระซึ่งสร้างจากไฟฟ้าสถิต (เช่น จากตัวเก็บประจุ) ถูกปล่อยสู่สารละลาย[6] ทว่า การทดลองบอลพลาสมาส่วนใหญ่กระทำโดยใช้ตัวเก็บประจุค่าแรงดันสูง ตัวกำเนิดสัญญาณไมโครเวฟหรือเตาอบไมโครเวฟ มิใช่ภาวะธรรมชาติ
ย้อนตำนาน “บั้งไฟพญานาค” ความรักจาก “นาคี” ต่อมนุษย์และพุทธศาสนา
ไม่หลบหลู่! เพจดังยื่นหนังสือพิสูจน์ "บั้งไฟพญานาค" คือกระสุนส่องแสง
แต่งานนี้ ก็ยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือมนุษย์ หรือ ธรรมชาติ เพราะทุกอย่างน่าจะเหมือนคำพูดที่ จิระ มะลิกุล ได้สอดแทรกอยู่ในภาพยนตร์ 15 ค่ำ เดือน 11 "เฮ็ดในสิ่งที่เชื่อ เชื่อในสิ่งที่เฮ็ด"
ที่มาข้อมูล
- เฟซบุ๊กแฟนเพจ พิสูจน์บั้งไฟพญานาค