ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า โดยมีเนื้อหาว่า วัคซีนโควิด จำนวนผู้ฉีดวัคซีนเท่าไหร่จึงจะเกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม
ภูมิคุ้มกันกลุ่มจะช่วยป้องกันการระบาดของโรคที่ติดต่อระหว่างคนสู่คน การจะป้องกันได้จะขึ้นอยู่กับว่าโรคนั้นติดต่อง่ายหรือยาก โรคติดต่อง่ายก็จะต้องการภูมิคุ้มกันกลุ่มในอัตราที่สูง โรคติดต่อยากก็จะใช้อัตราภูมิคุ้มกันกลุ่มที่ต่ำกว่า
โควิด-19 มีอัตราการติดต่อปานกลาง เมื่อคำนวณภูมิคุ้มกันกลุ่มที่ต้องการจะพบว่าอยู่ประมาณ 60% การให้วัคซีนโควิดประสิทธิภาพในการสร้างภูมิต้านทานไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าสมมุติว่าวัคซีนโควิด มีการสร้างภูมิต้านทานป้องกันโรคได้ 80% จำนวนผู้ที่จะต้องฉีดวัคซีนให้เกิดภูมิคุ้มกันกลุ่มจะมากกว่า 60% ขึ้นไปอีก จะอยู่ที่กว่า 70% ดังนั้นการให้วัคซีนในประชากรไทยเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันกลุ่มซึ่งในอนาคตจะต้องรวมเด็กด้วยและชาวต่างชาติทั้งหมดที่อยู่ในประเทศไทย คิดยอดรวมประมาณ 70 ล้านคน
“หมอฉัตรชัย” แจง สาเหตุอาการแพ้วัคซีน ยัน วัคซีนมีความปลอดภัย ขอปชช.มั่นใจ
ภูมิต้านทานไม่ว่าจะจากการติดเชื้อหรือการได้รับวัคซีนที่เกิดขึ้นต้องเกือบ 50 ล้านคน ดังนั้น ความต้องการในการฉีดวัคซีนทั้งประเทศ ถ้าคนละ 2 เข็ม วัคซีนที่ใช้ก็จะต้องใช้ร่วม 100 ล้านโดส ถ้าขณะนี้ยังไม่นับเด็กก็จะต้องใช้ถึง 85 ล้านโดส ประเทศไทยเตรียมวัคซีนไว้ประมาณ 63 ล้านโดส จึงยังไม่เพียงพอ ยังต้องมีการหาวัคซีนเพิ่มเติมอีกเป็นจำนวนมาก
กลุ่มประชากรเด็กจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะต้องได้รับวัคซีนจนกว่าจะมีการศึกษาขนาดและวิธีการใช้เพื่อป้องกันการระบาดของโรค และในอนาคตในปีหน้าก็ยังไม่ทราบว่ามีความจำเป็นต้องกระตุ้นเพิ่มอีกหรือไม่ การให้วัคซีนในหมู่มากสำหรับประเทศไทยมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนเพื่อยุติวิกฤตการระบาดของโรคให้ได้อย่างรวดเร็ว ชีวิตความเป็นอยู่และสังคมจะได้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
เทียบวัคซีนโควิด-19 สองชนิดเข้าไทย “แอสตราเซเนกา-ซิโนแวค”