สุทธิชัย หยุ่น : วัคซีนทางเลือก เกินดีกว่าขาด


โดย PPTV Online

เผยแพร่




วัคซีนทางเลือก จากภาคเอกชน ที่อาสาจัดหามาช่วยรัฐบาล ยังสับสน "สุทธิชัย หยุ่น" เปิดข้อมูล ชี้สมมติฐาน ความเสี่ยง เหตุผลรัฐบาลต้องฟัง เอกชนต้องทำต่อ

ท้ายที่สุดเอกชนที่จะมาช่วยหาวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชน เพื่อมาเพสริมสิ่งที่รัฐบาลหาได้หรือไม่

สุทธิชัย หยุ่น : ได้เวลาปฏิบัติการเอกชนสู้โควิด!

สุทธิชัย หยุ่น : ทดสอบ "น้ำยา" อาเซียน ต่อวิกฤตเมียนมา

คำตอบของผมวันนี้ ตรวจสอบข่าวล่าสุด ยังสับสน

ภาพรวมคือ รัฐบาลจะเป็นเจ้าภาพเอก 100 ล้านโดส แจกจ่ายวัคซีนโควิดให้ ประชาชน 50 ล้านคน หรือ 70% ของประชากรไทยก่อนสิ้นปีนี้ เท่ากับจะมี Herd immunity หรือภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่ง100 ล้านโดส ก่อนสิ้นปีนี้รัฐบาลมั่นใจ

เอกชนเคยเสนอผ่านหอหารค้าไทย โดยกลุ่ม 40 ซีอีโอ ประชุมกัน พร้อมจะช่วยรัฐบาลหา 30 ล้านโดส

 

รัฐบาลประชุมกันแล้วกับฝ่ายเอกชน

ต่อมาไม่กี่วัน มีประกาศจากหอการค้าไทยว่า รัฐบาลได้สั่งเบรก บอกว่าเอกชนไม่ต้องหาแล้ว

รัฐบาลหาได้ 100 ล้านโดสแน่นอน

เอกชนเลยบอกว่า อย่างนั้นก็หยุด

แต่มีคำอธิบายต่อ ล่าสุดจากท่านโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี "นายอนุชา บูรพชัยศรี" บอกว่า รัฐบาลจะเป็นเจ้าภาพ ไม่ได้กีดกันเอกชน เพราะเอกชนไปลองซาวเสียงมาว่าจัดหาได้ แต่จะช้าไป เพราะวัคซีนจะมาตอนสิ้นปี

ดังนั้นรัฐบาลก็จะเป็นเจ้าภาพหลัก แต่ก็ไม่กีดกัน

คณะกรรมการที่ท่านนายกรัฐมนตรี "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ตั้ง ที่ให้เอกชน ร่วมหาวัคซีนทางเลือก ที่มี ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นหัวหน้า ก็ยังทำหน้าที่ต่อไป หาได้ก็มาเสริมได้

ต่อมาหอการค้า ก็มาออกประกาศฉบับต่อมา เพื่อจะชี้แจงฉบับที่ 1

ฉบับที่ 1 บอกว่า รัฐบาลบอกว่าไม่ต้อง ขอให้รัฐบาลทำ 100 เปอร์เซ็นต์ เอกชนช่วยด้านอื่น เพราะไม่ต้องการเป็นภาระงบประมาณให้เอกชน ซึ่งเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจอยู่แล้ว

พอหอการค้าไทย ออกมาอย่างนั้นก็สับสน เพราะสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ในวันเดียวกัน ให้รัฐบาลยืนยันให้เอกชนช่วยหาได้

มันก็เกิดความสับสนนงุนงง

จากนั้นก็ยังมีคำอธิบายจากโรงพยาบาลเอกชนว่า ไม่เกี่ยวกันนะ ที่หอการค้าบอกหยุดหา นั่นเป็นฝ่ายธุรกิจ รพ.เอกชนยังเดินหน้าหาวัคซีนต่อ ภายใต้คณะกรรมการที่มีคุณหมอปิยะสกล เป็นประธาน

เอาล่ะสิครับ!!

ล่าสุดที่มีการชี้แจงจากโฆษกรัฐบาล น่าจะเป็นจุดยืนรัฐบาล ว่าเอกชนไม่ได้ถูกกีดกันแต่หากมาไม่ทันสิ้นปีนี้ ถึงอย่างไรรัฐบาลจะเป็นเจ้าภาพหลัก

แต่ว่ามีเอกสารทางการ มีระบุให้เอกชนช่วย

เอกสารของ ศบค. ระบุว่า วัคซีนทั้งหมด 100 ล้านโดสทางรัฐบาลจะหามา 63% 

63 ล้านโดส เป็นแอสตราเซเนกา ที่ผลิตโดยสยามไบโอไซเอนซ์ 61 ล้านโดส ซิโนแวค จากจีน 2 ล้านโดส

63 ล้านโดสนี้ค่อนข้างแน่นอน

แต่ 30% ที่รัฐบาลจะหานั้น ก็จะมาจากไฟเซอร์ 5-20 ล้านโดส

สปุตนิกวี 5-10 ล้านโดส

จอห์นสัน แอนด์ จอนห์สัน 5-10 ล้านโดส

ซิโนแวค 5-10 ล้านโดส และอาจไปหาโมเดอร์นา ซิโนฟาร์มและบารัต ของจีนและอินเดีย

โดยเอกสารของ ศบค.ระบุว่า อีกกว่า 30%ที่รัฐจะหาเพิ่มจาก 63 เปอร์เซ็นตที่มีอยู่แล้ว ก็จะเหลือ 7% ที่จะให้เอกชนไปช่วยหา

มันจะไม่สับสนได้ยังไง ในเมื่อเอกสารทางการก็ยังบอกให้เอกชนช่วยหา

แต่ว่าหอการค้า บอกว่าทาง รัฐบาลบอกไม่ต้องแล้ว

โฆษกรัฐบาลบอก ไม่ได้กีดกัน แต่รัฐบาลจะเป็นหลัก

แต่ถ้ารพ.เอกชน หามาได้ก็ไม่ว่าอะไร ให้เอกชนไปทำก็แล้วกัน

ล่าสุด หอการค้าไทย ออกแถลงการณ์ ว่า เอาล่ะรัฐบาลเป็นหลัก แต่เอกชนนั้นไปคุยกับจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ซึ่งบอกว่ามีแต่จะส่งสิ้นปี ซึ่งไม่ทัน รัฐบาลก็จะเป็นหลัก แต่ก็ไม่ได้ห้าม ถ้ารพ.เอกชนของเราหามาได้ พร้อมจะให้เอกชนฉีด โดยเอกชนออกสตางค์เอง ตรงนี้พอเข้าใจได้ในภาพรวม

แต่ผมเชื่อว่าความไม่แน่นอนมีสูงมาก

ดังนั้นผมว่าถ้ารัฐบาลตั้งเป้าเอาไว้ 100 ล้านโดส ที่แน่ๆคือแอสตราเซเนกา ซึ่งสยามไบโอไซเอนซ์จะผลิตเอง แต่ที่เหลือเมื่อดูจากตัวเลข ตั้งเป้านำเข้าวัคซีนจากแต่ละเจ้านั้น 5-10 ล้านโดส ความแน่นอนยังไม่มี

ดังนั้น 100 ล้านโดสนั้นเป็นเป้า แต่จะได้หรือไม่ได้นั้นไม่รู้

ความไม่แน่นอนอีกประการหนึ่งก็คือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี จะไม่มีการกลายพันธุ์!

เราจะรู้ได้อย่างไร จากนี้ถึงสิ้นปีนั้น จะไม่มีประเด็นปัญหา ที่ทำให้ยี่ห้อต่างๆที่รัฐบาลบอกว่าจะไปเจรจานั้น เกิดอุปสรรคชะงักงันในการผลิต

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าฤทธิ์ของวัคซีนนั้นอยู่ได้กี่เดือน

สมมติคนฉีกคนแรกวันนี้ กับคนฉีดคนสุดท้ายสิ้นเดือนธันวาคม ฤทธิ์ของคนแรกนั้นหมดไปแล้ว ก็ต้องฉีดวัคซีนเพิ่ม

ดังนั้นถ้าตั้งเป้า100 ล้านในการบริหารวิกฤต ต้องมีการบริหารความเสี่ยง "Risk management"

ไม่ว่าเอกชน หรือรัฐ ในการทำสงครามโงนั้น วัคซีนทางเลือกเผื่อเอาไว้ มีมาก ดีกว่ามีน้อย มีเกินดีกว่าขาด

ควรตั้งเป้าจัดหาวัคซีนไว้ 120-130 ล้านโดส ดังนั้นถ้าเอกชนหาเพิ่มได้ ไม่ควรจะกีดกัน

เอกชนควรเป็นทีมเดียวกับรัฐบาล

ใครหามาได้อย่างไรอยู่ตรงกองกลาง และช่วยกันฉีด ช่วยกันรณรงค์ประชาชนมาฉีดวัคซีน

นี่คือยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่ง เราจะต้องไม่ตั้งเป้าว่าเราได้ 100 ล้านโดส ถ้าไม่ได้เกิดอะไรขึ้น!!

ถ้าเราเผื่อไว้ 130-150 ล้านโดส ถ้าได้มาหมด ไม่เป็นไร ฉีดให้คนไทยเกิน 70 %ก็ได้ และเผื่อเอาไว้ว่า ถ้ามันมีปัญหาจากนี้ไปอีก 6-7 เดือน อะไรขาด การส่งชะงัก เราก็ยังมีของสำรอง มีกระสุนตุนเอาไว้ตลอด

ผมว่านี่คือสิ่งที่รัฐบาลและเอกชน ต้องมานั่งคุยกัน

สร้างความกระจ่าง ประกาศยุทธศาสตร์ร่วมให้คนไทยได้ทราบให้แน่ชัดอีกครั้ง

TOP สุขภาพ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ