เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ มีมติเห็นชอบการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนการบริจาคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของฝ่ายไทย เพื่อรับมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัทแอสตร้าเซเนก้า จากรัฐบาลญี่ปุ่น จำนวน 1,050,000 โดส ตามที่รัฐบาลญี่ปุ่นเคยประกาศไว้ ก่อนหน้านี้ โดยสาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนระบุให้รัฐบาลไทยจะต้องดำเนินมาตรการที่จำเป็น
วัคซีนโควิด-19 “แอสตร้าเซเนก้า” ล็อตใหม่จะมาอีก 1.6 ล้านโดส
"ญี่ปุ่น" หวั่นโควิด-19 ระลอก 5 กระทบโอลิมปิก 2020
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกกล่าวว่า การส่งมอบวัคซีนกว่า 1 ล้านโดส ให้รัฐบาลไทย ภายใต้ ข้อตกลง 5 ข้อ ดังนี้
1.นำวัคซีนโควิด-19 ไปใช้อย่างเหมาะสมและเป็นการเฉพาะ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านสาธารณสุขและการแพทย์ของไทย โดยห้ามใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านการทหาร
2.รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จำเป็นหรือเกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด-19 ยกเว้นรัฐบาลของทั้งสองประเทศจะได้ตกลงกันเป็นอย่างอื่น และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นเกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด-19 ตามที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ ซึ่งครั้งนี้ ไทยจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งจากญี่ปุ่น ประมาณ 10- 99 ล้านเยน หรือ 2.9 - 28.7 ล้านบาท โดยกระทรวงสาธารณสุข มีงบประมาณรองรับส่วนนี้ไว้แล้ว
3.เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 เมื่อได้รับการร้องขอ
4.ไม่ส่งต่อวัคซีนโควิด-19 ให้แก่บุคคล หน่วยงาน รัฐบาลอื่น โดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นการล่วงหน้า
5.รายละเอียดที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการ ข้อกำหนด และเงื่อนไขเกี่ยวกับการส่งมอบวัคซีนจะจัดทำโดยหน่วยงานผู้มีอำนาจของรัฐบาลญี่ปุ่น คือ กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ และหน่วยงานผู้มีอำนาจของรัฐบาลไทย คือกระทรวงสาธารณสุข
สำหรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัท AstraZeneca ที่รัฐบาลญี่ปุ่น จะส่งมอบให้รัฐบาลไทย มี 2 ประเภท
1.ผลิตโดยใช้หัวเชื้อยาจากโรงงานบริษัท Catalent ของสหรัฐอเมริกา โดยบริษัท KM Biologics Co., Ltd. ของญี่ปุ่นเป็นผู้ผสมและบรรจุวัคซีน
2.ผลิตโดยใช้หัวเชื้อยาจากโรงงานบริษัท Catalent ของสหรัฐอเมริกา โดยบริษัท Daiichi Sankyo Co., Ltd. ของญี่ปุ่นเป็นผู้ผสมและบรรจุวัคซีน
น.ส.รัชดา เผยด้วยว่า จะมีการลงนามบ่ายวันนี้! (29 มิถุนายน 2564) ที่กระทรวงการต่างประเทศ