หญิงตั้งครรภ์ กับ สถานการณ์โควิด-19 มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนทั่วไป 2 เท่าครึ่ง


โดย PPTV Online

เผยแพร่




หญิงตั้งครรภ์ กับ สถานการณ์โควิด-19 มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนทั่วไป 2 เท่าครึ่ง พบตั้งแต่มีการแพร่ระบาด ตายก่อนคลอด 16 ราย แม่ตาย 37 ราย และลูกตาย 20 ราย

พลอากาศโท นายแพทย์การุณ เก่งสกุล ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย  เปิดเผยว่า สถานการณ์หญิงตั้งครรภ์ติดโควิด-19 เริ่มพบมากขึ้นหลังสงกรานต์ 2564

ฉีดวัคซีนหญิงตั้งครรภ์ กรมอนามัยแนะควรฉีดหลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์

จุดเด่นวัคซีน ChulaCov-19 และ 4 แนวทางไทยมีวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งชนิดของตนเองก่อนสงกรานต์ 65

ข้อมูลล่าสุด ตั้งแต่​ ธ.ค. 2563 – 12 ส.ค. 2564 พบ หญิงตั้งครรภ์ติดโควิด 1,993 ราย คลอดแล้ว 1,129 ราย (คิดเป็น 55% ) กว่าครึ่งเป็นการผ่าคลอด และกลุ่มนี้มีการฉีดวัคซีนเพียง 10 ราย 

ขณะเดียวกัน พบทารกติดเชื้อจากแม่ 113 คน (11.8%)  สูงกว่าต่างประเทศมาก ส่วนหนึ่งเพราะเทียบกับข้อมูลจากประเทศที่ฉีดวัคซีนจำนวนมากแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

 

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หญิงตั้งครรภ์ติดโควิดเสียชีวิตถึง 37 ราย คิดเป็น 1.85% เทียบกับคนทั่วไป ที่ติดเชื้อเสียชีวิต 0.83% ถือว่าสูงกว่าคนทั่วไป 2 เท่าครึ่ง  และทารกเสียชีวิต 36 ราย คิดเป็น 1.8% เป็น คลอดแล้วเสียชีวิตเลย 11 ราย และเสียชีวิตภายใน 7 วันหลังคลอด 9 ราย อีก 16 ราย เสียชีวิตในท้องพร้อมแม่

ขณะเดียวกัน รกและสายสะดือมีหลอดเลือดจำนวนมาก ขณะที่ โควิด 19 เป็นโรคที่ทำให้หลอดเลือดชำรุดเสียหาย ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์สูงมาก ทั้งภาวะความดันโลหิตสูง เลือดออกง่ายกว่าปกติ หลอดเลือดอุดตันที่ปอดมากกว่าปกติ รกลอกก่อนกำหนด จึงเป็นสาเหตุของการ แท้งการคลอดก่อนกำหนด เด็กน้ำหนักน้อยกว่ากำหนด รวมถึงทำให้แม่เสียชีวิตได้ง่ายกว่าปกติ

สรีระหญิงตั้งครรภ์ที่ใหญ่ขึ้นดันมดลูกทำให้ปอดขยายตัวลำบาก

ขณะที่สรีระหญิงตั้งครรภ์ ช่วง 32 สัปดาห์หรือ 8 เดือน ครรภ์จะใหญ่ขึ้น น้ำคร่ำในมดลูกมีมากที่สุดประมาณ 1-1.3 ลิตร จึงดันมดลูกขึ้นไปทำให้ปอดขยายตัวลำบาก เกิดภาวะปอดแฟบตามธรรมชาติ ทำให้เกิดปัญหาหายใจล้มเหลวได้มาก

ส่วนกรณีหญิงตั้งครรภ์ 20 สัปดาห์ ฉีดวัคซีนโควิดแล้วลูกเสียชีวิตในท้องนั้น ธรรมชาติของการตั้งครรภ์ สามารถพบทารกเสียชีวิตในท้องได้ประมาณ 1% มีหลายสาเหตุ ทั้งการติดเชื้อ หลอดเลือด สายสะดือ รก ความดันโลหิตสูง จะระบุว่ามาจากการฉีดวัคซีนคงไม่สามารถจะสรุปได้

ในช่วง 1 ปีของโควิดทำให้ทราบว่าไวรัสกระจายไปอยู่ในทุกส่วนของการตั้งครรภ์ ได้แก่ เลือดแม่ น้ำคร่ำรอบตัวเด็ก เนื้อรก หรือน้ำคัดหลั่งในช่องคลอด ไม่ว่าคลอดทางไหนมีสิทธิติดถึงลูกได้ รวมถึงผ่านน้ำนมไปได้ด้วย แต่ผ่านไปได้มากแค่ไหนกำลังมีการศึกษา ดังนั้น การให้นมบุตรยังมีความจำเป็น เพราะลูกจะได้ภูมิต้านทานจากโรคอื่นด้วย  พลอากาศโท นายแพทย์การุณ กล่าว

ส่วนการรักษาด้วยยา Remdesivir  ถ้าไม่จำเป็นที่จะต้องถึงขั้นช่วยชีวิตแม่ คือ มีอาการลงปอด จะไม่ใช้เพราะเป็นยาที่มีอันตราย ซึ่งยาฉีด

วัคซีนทางออกสำหรับ "แม่ตั้งครรภ์" 

อย่างไรก็ตาม วัคซีนมีความปลอดภัยและจำเป็นสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งภูมิต้านทานจะถึงทารกด้วย ขณะนี้มีรายงานจากต่างประเทศแล้วว่าการฉีดแบบมิกซ์แอนด์แมชต์ได้ผลภูมิคุ้มกันสูง ไม่จำเป็นต้องเลือกวัคซีน แต่ควรรีบฉีดวัคซีนให้ได้ภูมิคุ้มกันขั้นแรกจากเข็มแรกก่อน และเมื่อตามด้วยเข็ม 2 ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว 

และควรฉีดเมื่ออายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป เพราะใน 12 สัปดาห์หรือ 3 เดือนแรกเป็นช่วงที่ร่างกายเด็กกำลังสร้างอวัยวะ ทุกอย่างเช่น ระบบสมอง ประสาท กล้ามเนื้อ ระบบต่อมไร้ท่อ ต้องไม่มียาหรือวัคซีนใดๆเข้ามาแทรกซ้อน สำหรับยาฟาวิพิราเวียร์มีการระบุว่าห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ สามารถใช้ยาเรมเดซิเวียร์แบบฉีดได้ในกรณีอาการรุนแรงเช่นโควิดลงปอด

TOP สุขภาพ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ