โวยแท็กซี่รับผู้ป่วยโควิด-19 เสี่ยงแพร่เชื้อ

เผยแพร่ 9 ก.ย. 2564 ,17:08น.

คลิปเหตุการณ์ที่อาสากู้ภัยถ่ายวิดีโอ ขณะต่อว่าคนขับรถแท็กซี่ ที่รับผู้โดยสารติดเชื้อโควิด-19 ขึ้นรถไปส่งโรงพยาบาลเอง โดยภายในคลิปวิดีโอฝั่งคนขับรถแท็กซี่ ได้พยายามอธิบายกับเจ้าหน้าที่อาสา ซึ่งตนเองก็ไม่รู้ว่าผู้โดยสารคนที่รับมาเป็นผู้ป่วยโควิดด้วย

เหตุการณ์นี้สืบเนื่องมาจากหนุ่มเจ้าหน้าที่อาสาขับรถไปรับสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งติดโควิด-19 ที่บ้านพักย่านนวมินทร์โดยรอบแรกได้รับสามีขึ้นรถไปส่งก่อน แล้วให้ภรรยารออยู่ที่บ้านแต่ต่อมาภรรยาได้เรียกรถแท็กซี่เอง

และให้ขับมาส่งที่โรงพยาบาล เมื่อเจ้าหน้าที่อาสาเห็นจึงต่อว่าคนขับรถแท็กซี่อย่างที่ปรากฏในคลิปทันที ว่าไปรับผู้ป่วยแบบนี้ได้ยังไงมันเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อวงกว้างโดยไม่สอบถามเรื่องราว ซึ่งหลังจากที่อาสากู้ภัยนำคลิปวิดีโอมาเผยแพร่ ก็มีหลายคอมเม้นต์ต่อว่าเจ้าหน้าที่อาสา ที่ใช้คำพูดคำจารุนแรงเกินกว่าเหตุ เพราะคนขับรถแท็กซี่ได้ชี้แจงแล้วว่า ไม่รู้มาก่อนว่าผู้โดยสารที่รับมานั้นเป็นผู้ป่วย แต่ก็ยังคงต่อว่าไม่หยุด

ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางสาวสุกัญญา เอกปัจชา ลูกสาวของคนขับรถแท็กซี่ อธิบายว่า หลังจากเกิดเหตุดังกล่าว พ่อของตนเองได้มาเล่าให้ฟังว่าในขณะที่พ่อขับรถอยู่นั้นได้มีผู้หญิงคนหนึ่งเรียกรถแท็กซี่ โดยบอกว่าให้ไปส่งที่โรงพยาบาล ซึ่งในช่วงแรกตนเองไม่ได้คิดอะไร แต่ขับไปสักพักเริ่มสงสัยเพราะว่าผู้หญิงคนนี้แต่งกายมิดชิด รวมถึงขนข้าวของขึ้นรถมาด้วยจำนวนมาก คล้ายกับว่าจะไปพักค้างแรมหลายวัน รวมถึงเอะใจว่าจุดหมายปลายทางที่ให้ไปส่ง ก็เป็นโรงพยาบาลสนามอีกด้วย

ผู้ป่วยโควิด 19 ตรวจเช็กร่ายกายตัวเองหากพบ 4 อาการนี้ ให้รีบบอกแพทย์

จากนั้นจึงสอบถามผู้โดยสารไปตรงๆว่า ติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ซึ่งผู้โดยสารผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า ตนเองติดเชื้อโควิด-19 จริง แต่ขอร้องว่าอย่าไล่ลงจากรถแท็กซี่เลยพ่อที่เป็นโชเฟอร์ก็รู้สึกสงสาร รวมถึงในระแวกนั้นเป็นพื้นที่ชุมชน และอยู่บริเวณตลาดที่คนพลุกพล่านจึงกังวลว่าหากปล่อยผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ลงไปจากรถแถวนี้ ก็อาจจะเสี่ยงทำให้เชื้อแพร่ไปติดคนอื่นโดยที่ไม่ทันระวังตัว คุณพ่อจึงตั้งใจแบกรับความเสี่ยงไว้เองคนเดียว และรีบไปส่งผู้ป่วยให้ถึงโรงพยาบาลสนามโดยเร็วที่สุด

ลูกสาวคนขับรถแท็กซี่ ยังบอกว่าอีก คุณพ่อของตนเป็นเพียงคนหาเช้ากินค่ำ ไม่ได้มีเจตนาที่จะรับผู้ป่วยติดเชื้อตั้งแต่แรก และเมื่อรู้ว่ามีความเสี่ยงก็รีบกลับมาตรวจหาเชื้อ พร้อมทั้งกักตัวเองทันทีเพื่อรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่ว่าคุณพ่อจะไปขับรถเพื่อรับส่งผู้โดยสารรายอื่นต่อ

ดังนั้นเธอมองว่า การที่เจ้าหน้าที่อาสาฯ มาต่อว่าคุณพ่อแบบนี้โดยที่ไม่ฟังเหตุผลเลย พอตนเองเห็นจากในคลิปแล้วรู้สึกโกรธมาก ยิ่งนำคลิปวิดีโอที่มีการเผยแพร่ใบหน้าของพ่อและทะเบียนรถแท็กซี่โพสต์ลงไปในโซเชียลแบบนี้ก็ยิ่งโกรธ เพราะกลัวว่าประชาชนจะไม่มีใครกล้ามาใช้บริการพ่อของเธออีก