อย่างที่ทราบ น้ำตาล คือสารให้ความหวานชนิดหนึ่ง ซึ่งหากเราบริโภคมากเกินไป น้ำตาลจะถูกเปลี่ยนให้เป็นไขมันไปสะสม ตามส่วนต่างๆของร่างกาย และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา อาทิ โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ภาวะไขมันพอกตับ ไมเกรน หรืออาจส่งผลให้เลือกข้น เลือดหนืด จนเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ช้า และอาจทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะผิดปกติ รวมถึงยังทำให้ผิวของคุณแห้งเหี่ยวก่อนวัยอันควรอีกด้วย
"สารให้ความหวาน" ให้อะไรมากกว่าแทนน้ำตาล
เฝ้าระวัง! สัญญาณ 4 กลุ่มโรคร้าย ก่อนลุกลามเป็นโรคอื่น
7 เคล็ดลับ น้ำตาลจ๋า พี่ลาก่อน
คนไทยเป็นคนหวานๆ เพราะกินน้ำตาล 28 ช้อนชา/วัน
ซึ่งตามหลัก ในการรับประทานหวาน หรือทานน้ำตาล แบบไม่ส่งผลเสียกับสุขภาพ โดยใน 1 วัน เราควรรับประทานน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน หรือไม่เกิน 30 กรัม แต่ถ้ารับประทานเกิน ก็ถึงเวลาที่คุณต้องเช็กร่างกายตัวเองแล้วว่า เรามีสัญญาณติดหวานหรือยังดังนี้
1. หลังมื้ออาหารจะต้องมีของหวาน
2. หากไม่ได้กินของหวานจะรู้สึกโหย
3. หงุดหงิดจนต้องหาของหวานมารับประทาน
ถ้าหากคนมีอาการดังกล่าวแสดงว่า คุณเริ่มมีภาวะติดหวานแล้ว ฉะนั้นควรต้องรีบปรับพฤติกรรม เพื่อลดปริมาณน้ำตาลลง โดยเริ่มจากการเปลี่ยนของหวานหลังมื้ออาหารเป็น ผลไม้ที่ไม่หวาน อาทิ แอปเปิ้ล สาลี่ สับปะรด หรือฝรั่ง
รวมไปถึงค่อย ๆ ปรับลดน้ำตาลจากอาหารหรือเครื่องดื่มที่รับประทานประจำวัน ค่อย ๆ ลด จากหวาน 100% ก็เหลือเพียง 75% และทำต่อเนื่องประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นจึงปรับลดลงอีก จาก 75% เหลือ 50% จนร่างกายคุ้นชินกับการลดน้ำตาล ไม่โหยหรือหงุดหงิดหากไม่ได้รับน้ำตาล
ทั้งนี้ในการปรับลดน้ำตาล ไม่ควรใช้น้ำตาลเทียม มาทดแทน เพราะน้ำตาลเทียมยังเปรียบเสมือนกับร่างกายได้รับน้ำตาลอยู่เท่าเดิม หรือบางครั้งอาจเสี่ยงรับน้ำตาลเกินด้วย
ที่มาข้อมูล
อ. ดร.วนะพร ทองโฉม นักวิชาการโภชนาการ กลุ่มสาขาวิชาโภชนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล