อย่างที่รู้กันดี ยาแก้ปวด จำพวกยาพาราเซตามอล ถือเป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่มีข้อบ่งชี้ว่าช่วยบรรเทาอาการปวด ลดไข้ สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ แต่บางคนก็ใช้ยาตัวนี้ผิดวิธีจนส่งผลเสียกับร่ายกาย จนกลายเป็นโรคปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดมากเกินไป
โรคปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดมากเกินไป (Medical overuse headache) นี้เกิดจากการที่ผู้ป่วยใช้ยาแก้ปวดบรรเทาอาการปวดศีรษะในปริมาณที่มากจนเป็นผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะรุนแรงมากขึ้นในระยะเวลาต่อมา และมีความถี่ของอาการปวดศีรษะแทบทุกวัน
แพทย์แนะวิธีใช้ "ยาพาราเซตามอล" ให้ปลอดภัยไม่ส่งผลร้ายกับร่างกาย
ปวดท้องรุนแรง อย่า! ... กินยาแก้ปวด เสี่ยงทำแพทย์วินิจฉัยผิด ยิ่งอันตรายถ้าเป็นไส้ติ่งอักเสบ
ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดศีรษะต่อเนื่องนานเกิน 3 เดือน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีประวัติการใช้ยาแก้ปวดในกลุ่มพาราเซตามอล หรือกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เกิน 15 วัน/ดือน หรือมีประวัติการใช้ยาแก้ปวดในกลุ่ม เออร์โกตามีน ทรีปแทน หรือโอปีออยด์ เกิน 10 วัน/เดือน
โดยอาการที่สามารถสังเกตได้
1. อาการปวดศีรษะจะมีความถี่ขึ้น เมื่อใช้ยานานขึ้น
2. ยาแก้ปวดที่ใช้มีประสิทธิภาพลดลง ที่เคยรับประทานแล้วหายปวดกลับไม่หายปวด
3. อาการปวดศีรษะจะเกิดขึ้นภายหลังยาแก้ปวดหมดฤทธิ์
4. ผู้ป่วยจะต้องใช้ขนาดยาแก้ปวดที่เพิ่มขึ้น
5. ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดศีรษะขณะนอนหลับร่วมด้วย เนื่องจากขาดยาในช่วงเวลานอนและทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ
วิธีป้องกันอาการปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดมากเกินไป
1. หยุดหรือลดปริมาณของยาแก้ปวดที่ใช้เกินขนาด
2. ปรับรูปแบบการดำเนินชีวิต เช่น นอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดภาวะเครียดหรือปัจจัยกระตุ้นที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ
3. ในผู้ป่วยที่มีโรคปวดศีรษะอยู่เดิม เช่น โรคปวดศีรษะไมเกรน ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อพิจารณาการใช้ยาและป้องกันอาการปวดศีรษะที่เหมาะสม
ย้ำเตือนการใช้ พาราฯ ให้ปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายกับ “ตับ”
เปิดรายชื่อยา 3 ชนิดช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยจาก “ออฟฟิศซินโดรม”
ที่มา
อ. นพ.ประกิต อนุกูลวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย