ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ภาวะปัญญาก่อน กับภาวะออทิสติก เป็นคนละภาวะที่ สามารถแยกจากกันโดยการส่งประเมินระดับสติปัญญา (IQ test) แต่ภาวะปัญญาอ่อนถือเป็นภาวะร่วม ที่อยู่ในกลุ่มออทิสติกโดยสามารถพบร่วมได้ร้อยละ 50 - 70 ขณะที่กลุ่มภาวะออทิสติกในบางราย มีระดับสติปัญญามากกว่าคนปกติทั่วไป และบางรายยังมีความสามารถพิเศษในระดับ อัจฉริยะ(Autistic Savant) เช่น มีความสามารถในการวาดรูป มีความสามารถพิเศษในเรื่องของความจำ การคิดเลขเร็วและภาษา เป็นต้น
เสนอ สธ. ตรวจคัดกรอง 40 โรคพันธุกรรมทารกแรกคลอด ป้องกันภาวะปัญญาอ่อน
เตรียมแจ้งความ ถูกหนุ่มออทิสติก ทุบหลัง
อาการออทิสติก ถือเป็นความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและทำงานของสมอง ซึ่งมีผลทำให้พัฒนาการผิดปกติหรือไม่สมวัยจากเด็กทั่วไป โดยความบกพร่องดังกล่าวมีด้วยกัน 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านสังคม ด้านอารมณ์ และ ด้านภาษา
ซึ่งระดับอาการของกลุ่มออทิสติก แบ่งเป็น 3 ระดับ
1. ระดับกลุ่มที่มีอาการน้อย มีระดับสติปัญญาปกติหรือสูงกว่าปกติ มีพัฒนาการทางภาษาดีกว่ากลุ่มอื่น แต่ยังมีความบกพร่องในทางทักษะสังคม การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และการรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของบุคคลอื่น บางครั้งเรียกว่า กลุ่มออทิสติกที่มีศักยภาพสูง (High function) หรือที่รู้จักกันในชื่อแอสเพอเกอร์ซินโดรม (Asperger's Syndrome)
2. ระดับกลุ่มที่มีอาการปานกลาง จะมีอาการล่าช้าในการพัฒนาการทางด้านภาษา การสื่อสาร ทักษะสังคม การเรียนรู้และการช่วยเหลือตนเอง และจะมีพฤติกรรมกระตุ้นตนเองพอสมควร
3. ระดับกลุ่มที่มีอาการรุนแรง กลุ่มนี้มักจะมีความล่าช้าในพัฒนาการเกือบทุกด้าน ตั้งแต่วัยเด็กและอาจเกิดร่วมกับภาวะอื่น เช่น ภาวะปัญญาอ่อน หรือบางคนมีปัญหาทางอารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง
ขณะที่ภาวะปัญญาอ่อน (Intellectual Disability หรือชื่อเดิม Mental Retardation) ถือเป็นภาวะที่ สติปัญญา ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยทั่วไป โดยมีปัจจัยด้านพันธุกรรม ปัจจัยสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ในครรภ์ของมารดาจนหลังคลอดล้วนเกี่ยวข้องและมีผลต่อสติปัญญาของทารกได้ เช่น ภาวะแวดล้อมที่มีการให้ความรัก ความอบอุ่น การกระตุ้นพัฒนาที่เหมาะสมกับวัยก็มีผลต่อการเสริมสร้างสติปัญญาให้มีศักยภาพมากขึ้นได้
ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา นั้นจะส่งผลต่อพัฒนาการบกพร่องซึ่งทำให้ความสามารถในการพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว ภาษา สังคมและพฤติกรรมการปรับตัวด้อยกว่าเด็กปกติในอายุเดียวกัน ทำให้ขาดทักษะต่างๆที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตหรือมีข้อจำกัดด้านสติปัญญา เรียนรู้ช้ากว่าปกติ
อาการในภาวะปัญญาอ่อน
เด็กที่มีภาวะปัญญาอ่อนอาจไม่แสดงอาการที่ชัดเจน จนกว่าเด็กจะเข้าสู่วัยเรียน อย่างไรก็ตาม การติดตามพัฒนาการของเด็กอย่างใกล้ชิดสม่ำเสมอจะช่วยคัดกรองภาวะปัญญาอ่อนได้
พัฒนาการช้า สามารถสังเกตได้ตามนี้
1.ไม่สามารถพลิกตัว ลุกขึ้นนั่ง คลาน หรือเดินได้เมื่อเทียบกับพัฒนาการในเด็กปกติวัยเดียวกัน
2.พูดช้า มีปัญหาการสื่อสาร การใช้คำไม่ถูกต้องเหมาะสม
3.ใช้สีหน้า ท่าทาง หรือสัญลักษณ์ในการสื่อสารมากกว่าการใช้คำพูด
4.มีพัฒนาการช้าในการทำกิจวัตรประจำวัน การขับถ่าย สวมใส่เสื้อผ้า
5.เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ช้า เขียน อ่าน การคิดคำนวณตัวเลข
มีความยากลำบากในการจดจำ และขาดทักษะในการเรียนรู้
6.มีอารมณ์เกรี้ยวกราดและไม่สามารถควบคุมได้
7.ขาดทักษะในการเข้าสังคมอยู่ร่วมกับผู้อื่น
ภาวะปัญญาอ่อนแบ่งออกได้ดังนี้
IQ(Intelligence Quotient)
ค่า IQ 90 – 109 คือ เรียนรู้ได้ในระบบปกติ
ค่า IQ 80 – 89 คือ เรียนรู้ในระบบปกติได้ แต่จะช้ากว่าเล็กน้อย
ค่า IQ 70 – 79 คือ ความบกพร่องทางสติปัญญาหรือเรียกกันว่าภาวะปัญญาอ่อน มักจะต้องการความช่วยเหลือพิเศษจึงจะสามารถเรียนรู้ได้
ค่า IQ ต่ำกว่า 70 คือ สติปัญญาบกพร่องจะต้องอาศัยระบบการศึกษาพิเศษ
ความรุนแรงของความบกพร่อง ซึ่งแบ่งได้เป็น
-บกพร่องอย่างอ่อน คือ เรียนรู้ทางด้านวิชาการได้ในระดับหนึ่ง สามารถอ่านออกเขียนได้ โดยในการเรียนรู้จะต้องใช้เวลาที่มากกว่าปกติ
-บกพร่องปานกลาง คือ สามารถฝึกฝนสิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวันได้
-รุนแรงถึงรุนแรงมาก คือ เป็นกลุ่มที่ต้องอาศัยผู้ดูแลอยู่ตลอดเวลาเพราะช่วยตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น การกิน การถ่าย มีโรคทางกายเห็นเด่นชัดร่วมด้วย
สาเหตุของภาวะปัญญาอ่อน
1.ความผิดปกติทางพันธุกรรม มีภาวะผิดปกติของโครโมโซม
2.เกิดปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์ อาจมีปัจจัยที่กระทบกระเทือนต่อพัฒนาการสมองของทารกในครรภ์จนทำให้เกิดภาวะปัญญาอ่อน เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาเสพติด ผู้เป็นแม่มีสุขอนามัยที่ไม่ดี เกิดภาวะติดเชื้อ หรือมีภาวะครรภ์เป็นพิษ
3.เกิดปัญหาระหว่างการคลอด เช่น เด็กขาดออกซิเจนในขณะคลอดหรือคลอดก่อนกำหนด
4.การเจ็บป่วยจากการติดเชื้อ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคหัด
5.การได้รับบาดเจ็บที่กระทบกระเทือนสมอง เช่น การบาดเจ็บบริเวณศีรษะจากอุบัติเหตุ เกิดการติดเชื้อในสมอง
6.การเจ็บป่วยอื่น ๆ เช่น มีความผิดปกติของเนื้อสมอง สมองผิดรูป โรคลมชัก
7.ปัจจัยภายนอก เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาเสพติด ได้รับสารพิษอย่างสารปรอทหรือสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกาย มีสุขอนามัยที่ต่ำมาก เคยจมน้ำ เคยถูกทารุณกรรม เคยถูกละเลยการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ผู้ปกครอง และถูกกักขังหรือแยกตัวออกจากสังคมเป็นเวลานาน
แนวทางการรักษา
1.การกระตุ้นพัฒนาการ ได้ผลดีมากในเด็กเล็ก ควรให้การวินิจฉัยภายในขวบปีแรก เมื่อสังเกตเห็นเด็กมีพัฒนาการช้ากว่าเกณฑ์ปกติ และควรประเมินพัฒนาการของเด็กทุก2-4 เดือน เพื่อคัดกรอกภาวะปัญญาอ่อน หากรู้ไวก็จะได้รับการกระตุ้นพัฒนาการได้ทัน
2.การจัดการเรียนให้เหมาะสมกับสติปัญญาและความสามารถของเด็ก เพราะเด็กบางคนสามารถเรียนในโรงเรียนปกติได้ บางคนก็ต้องเรียนในโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษ บางคนเหมาะกับการฝึกอาชีพ บางคนที่เป็นมากก็ต้องอยู่ในโรงพยาบาลหรือสถาบันฝึกสำหรับเด็กที่เป็นภาวะปัญญาอ่อนโดยตรง
ทดลองระยะ 3 ยาโควิด-19 AZD7442 ของแอสตร้าเซเนก้า โดสเดียวป้องกันได้ในระยะยาว
การป้องกันภาวะปัญญาอ่อนในเด็กแรกเกิด
1.สำหรับผู้มีประวัติครอบครัวป่วยด้วยโรคทางพันธุกรรม ควรรับการตรวจหาโรคก่อนวางแผนตั้งครรภ์
2.ผู้หญิงที่มีการตั้งครรภ์ในช่วงอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ควรรับการตรวจคัดกรองกลุ่มดาวน์ซินโดรม
3.ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ระหว่างตั้งครรภ์
4.ควรฝากครรภ์ทันทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์ และปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด
5.ไปตรวจครรภ์ตรงตามนัดหมายทุกครั้ง เพื่อให้ทราบถึงอาการผิดปกติ และสามารถแก้ไขหรือรักษาได้ทันท่วงที
จากรายละเอียดที่ว่ามา เพียงเท่านี้คุณก็สามารถแยกรายละเอียดได้แล้วว่า ภาวะปัญญาอ่อน กับภาวะออทิสติก แต่ต่างกันอย่างไร
ที่มา
Facebook : Neurobalance
https://healthserv.net