อัตราเงินเฟ้อสหรัฐในเดือนมกราคม พุ่งขึ้น 7.5% ทำสถิติครั้งใหม่ในรอบ 40 ปี ขณะที่ความต้องการสินค้าและบริการยังแข็งแกร่ง แต่ยังเผชิญปัญหาด้านอุปทาน ผลักดันราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น
กระทรวงแรงงานสหรัฐ รายงานว่าดัชนีผู้บริโภคในเดือนมกราคม แตะระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนก.พ. 1982 และเงินเฟ้อสหรัฐทะยานขึ้นเหนือ 5% เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน
เงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักสินค้าอาหารและพลังงาน ในเดือนม.ค. ก็ยังสูงถึง 6% และเพิ่มขึ้นจากเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว 5.5% เป็นระดับที่สูงเกือบ 40 ปีเช่นเดียวกัน
ราคาทองคำ "เช้าขึ้น-บ่ายร่วง" ปิดตลาดไม่เปลี่ยนแปลง
เปิดกลยุทธ์ลงทุนซิตี้แบงก์ แนะลงทุนหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตระยะยาว
กนง.เคาะแล้ว มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.50% ต่อปี
การเคลื่อนไหวเงินเฟ้อสหรัฐ
เงินเฟ้อสหรัฐพุ่งสูงขึ้นมากกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7% ทำให้นักลงทุนกังวลว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ทำให้เกิดแรงเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีออกมาอย่างหนัก
ตลาดหุ้นสหรัฐเปิดตลาดร่วงลง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้น โดยในช่วงเปิดตลาด ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.2% ดัชนี Nasdaq ร่วงลง 1.75% และดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 0.6%
ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดร่วง 83.10 จุด หรือ 1.8% อยู่ที่ 4,504.08 จุด ลดลงหลังขึ้นมา 3 วัน ดัชนีดาวโจนส์ ร่วง 526.47 จุด หรือ 1.5% ปิดที่ 35,241.59 จุด และ ดัชนี Nasdaq ลดลง 304.73 จุด หรือ 2.1% ปิดที่ 14,185.64 จุด
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ทะยานขึ้น โดยพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 1.987% จากระดับ 1.928% หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 2% เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2019
ราคาทองคำร่วงลง หลังจากรายงานเงินเฟ้อ โดยมีแรงเทขายออกมา จากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะใช้ "ยาแรง" เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งราคาทองคำมักจะสวนทางกับอัตราดอกเบี้ย แม้ว่าทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ต่อสู้กับเงินเฟ้อ
แต่ระหว่างการซื้อขาย ทองคำมีความผันผวนสูง จากแรงซื้อเข้ามาในฐานะสินทรัพย์ต่อสู้กับเงินเฟ้อ ทำให้ราคาทองคำยังเคลื่อนไหวระดบ 1,830 ดอลลาร์/ออนซ์
นักวิเคราะห์กล่าวว่าตลาดเงินตลาดทุนจะเกิดความผันผวนตามมา หลังจากรายงานเงินเฟ้อออกมา จนกว่าจะถึงการประชุมเฟดในเดือนมี.ค.