สถิตินี้เมื่อเทียบกับปี 2561 หรือเมื่อ 5 ปีก่อน มีคนที่ได้รับความเสียหายสูงขึ้นถึงเกือบ 60 เท่า เฉลี่ยแต่ละรายสูยเสียไปราว 2,600 ดอลลาร์สหรัฐ มากที่สุด 70% คือ Bitcoin (BTC) ตามด้วย Tether (USDT) 10% และ Ether (ETH) 9% ตามลำดับ
ตลาดคริปโทฯ ทิศทางขาลง พิษ LUNA-UST ล่มสลาย “เฟด” จ่อซ้ำเติม เร่งขึ้นดอกเบี้ย
บทเรียนคริปโทฯ “LUNA” ล่มสลาย สะเทือนวงการนักเทรด ก่อนคืนชีพ “LUNA 2.0”
ครึ่งหนึ่งของผู้เสียหายจากการถูกโกง คริปโทเคอร์เรนซี คือ การถูกโกงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย มากที่สุดคือ อินสตราแกรม (32%), เฟซบุ๊ก (26%), วอตส์แอปป์ (9%) และ เทเลแกรม (7%)
“หลอกให้ลงทุน” เป็นกลลวงที่พบเจอบ่อยที่สุด ในปี 2564 มีการสูญเสียจากกลยุทธ์นี้ไปถึง 575 ล้านดอลลาร์ โดยมาในรูปแบบของเว็บไซต์ และ แอปพลิเคชันการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซีที่ระบุว่า “จะได้รับผลตอบแทนสูง” และกว่าจะรู้ตัวว่า เว็บไซต์หรือแอปพิลเคชันเหล่านั้นเป็นของปลอมพวกเขาก็สูญเงินไปแล้วและไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้
“ไม่มีธนาคารหรือหน่วยงานส่วนกลางอื่นใดสามารถหยุดธุรกรรมที่น่าสงสัยพยายามฉ้อโกงเหล่านี้ได้ก่อนที่ความเสียหายจะเกิดขึ้น ถูกอย่างถูกควบคุมอยู่ในมือมิจฉาชีพ” FTC เตือนในรายงาน
อันดับต่อมาที่มักจะถูกมิจฉาชีพหลอกในลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี คือ การถูกหลอกให้ตายใจ เชื่อใจ ผ่านการ จีบ หรือทำให้หลงรัก ตามมาด้วยการหลอกลวงลงทุนในธุรกิจระดับโลกที่มีชื่อเสียงหรือน่าเชื่อถือ เช่น Amazon หรือ Microsoft
FTC ยังพบว่า กลุ่มคนที่มีอายุราว 20 ถึง 49 ปีมีโอกาสถูกหลอกมากกว่ากลุ่มอายุที่มากขึ้นถึง 3 เท่า
เพราะฉะนั้นแล้ว เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการถูกหลอก ถูกโกง FTC เตือนว่า ทุกคนต้องทำความเข้าใจว่าการลงทุนแบบคริปโทเคอร์เรนซี ไม่มีการรับประกันผลตอบแทนใดๆ หลีกเลี่ยงการลงทุนหรือการชักจูงทำธุรกิจที่ต้องซื้อด้วยคริปโทเคอร์เรนซี และระวังมิจฉาชีพที่พยายามให้คำพูดโน้มน้าวจิตใจที่โรแมนติก คำพูดหวานๆ คำพูดสวยหรู เพื่อนำไปสู่การชักจูงให้ลงทุนผ่านคริปโทเคอร์เรนซี