เปิดรายชื่อหุ้นเข้า FTSE SET Index Series รอบใหม่ มีผล 20 มิ.ย.
เปิด 12 กลุ่มหุ้น เจอพิษเงินเฟ้อพุ่งแรงสูงสุดรอบ 13 ปี ส่อกระทบกำไร บจ.
นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารทิสโก้ ได้แนะนำให้ขายหุ้นยุโรปมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะประเมินว่ายุโรปมีโอกาสที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเร็วกว่าภูมิภาคอื่น โดยปัจจัยที่ทำให้ธนาคารทิสโก้ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยุโรปจะเข้าสู่ภาวะถดถอยมากกว่าภูมิภาคอื่น มาจาก 3 ปัจจัย คือ
- ปัญหาการคว่ำบาตรด้านพลังงานโดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ทำให้ภาคการผลิตหยุดชะงัก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมาก ทำให้เกิดปัญหาสินค้าขาดแคลน ซึ่งกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในระยะยาว
- ตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่หดตัวท่ามกลางราคาสินค้าที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง ตามอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 8.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งระดับดังกล่าวถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
- การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยในวันที่ 9 มิถุนายนนี้ คาดการณ์ว่า ECB จะออกประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อใหม่ และอาจประกาศยุติการทำ QE (นโยบายอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ) เปิดทางสู่การขึ้นดอกเบี้ย โดยคาดว่า ECB จะปรับขึ้นครั้งละ 0.25% ในการประชุมเดือนกรกฎาคม กันยายน และธันวาคม ทำให้สิ้นปีอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นไปอยู่ที่ 0.25% จากปัจจุบันอยู่ที่ -0.50%
ธนาคารทิสโก้ มองว่า ตลาดหุ้นจีน คือดาวเด่นของการลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากราคาน่าจะลงมาใกล้จุดต่ำสุด เพราะรับรู้ประเด็นลบจากปัจจัยกดดันทั้งจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศไปหมดแล้ว
ขณะเดียวกันเริ่มเห็นสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายจากทางการจีนมากขึ้น เช่น การคลายล็อกดาวน์เมืองเซี่ยงไฮ้อย่างเต็มรูปแบบ และการผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ และผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อทำให้เศรษฐกิจจีนโตในระดับ 5.5% ในปี 2565
ทั้งนี้จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้น ‘เมกะเทรนด์ของจีน’ หลังจากราคาหุ้นกลุ่มนี้ย้อนหลัง 1 ปี ปรับตัวลงมาประมาณ 40% และได้รับการสนับสนุนเชิงนโยบายจากทางภาครัฐจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ บังคับใช้ตั้งแต่ปี 2564 - 2568
4 ธีมเมกะเทรนด์ของหุ้นจีนที่น่าสนใจในการลงทุนระยะยาว
1. กลุ่มอุปโภคบริโภค เป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากพลังการบริโภคของประชากรจีนที่มีจำนวนกว่า 1,400 ล้านคน ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐที่ตั้งเป้าจะยกระดับการบริโภคในประเทศให้ขยายตัวขึ้น และลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ โดยคาดการณ์ว่ารายได้ภาคครัวเรือนของคนจีนจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวภายในปี 2573 อยู่ที่ 12,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนให้รายได้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคสินค้าในจีนสามารถเติบโต
2. กลุ่มเทคโนโลยี เป็นกลุ่มธุรกิจที่สำคัญของจีนที่รัฐบาลต้องการพัฒนาสินค้า โดยปัจจัยที่ทำให้การพัฒนาด้านนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งมาจากอัตราการเข้าถึงและใช้งานอินเทอร์เน็ตของประชากรจีนเพื่อกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 1,000 ล้านคน หรือ คิดเป็น 67% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และในอนาคตรัฐบาลจีนยังวางเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี 5.0 ทั้ง 5G, AI, Internet of Things, Semiconductors และ Smart Cities ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนยังมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว
3. กลุ่มเฮลธ์แคร์ ได้ประโยชน์จากประชากรของจีนที่กำลังมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่าจะเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ ภายในปี 2568 ซึ่งรัฐบาลจีนได้มีแผนการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม Healthcare ผ่าน ‘Healthy China 2030 Plan’ ด้วยการพัฒนาคุณภาพยาร่วมกับต่างชาติ เพิ่มความคล่องตัวในการอนุมัติยาตัวใหม่ เพิ่มงบประมาณในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในอุตสาหกรรม Healthcare โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้า คาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 17.7% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงแค่ราว 4.5% ต่อปี
4.กลุ่มพลังงานสะอาด รัฐบาลจีนตั้งเป้าจะต้องเป็นประเทศที่ปลอดคาร์บอน ภายในปี 2603 ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการเพิ่มกำลังการผลิต รวมถึงอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ สถานีชาร์จ และรถยนต์ไฟฟ้า โดยปัจจุบันจีนถือเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและสามารถทำยอดขายรถยนต์ EVs สูงถึง 1.24 ล้านคันในปี 2564 โดยคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนจะยังสามารถเติบโตขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 12 ล้านคัน ภายในปี 2573 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยทบต้นที่สูงถึง 25% ต่อปี สะท้อนให้เห็นว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของจีนยังเติบโตได้อีกไกล