ค่าเงินบาทผันผวน เสี่ยงอ่อนค่า จากดอลลาร์แข็ง - จีนล็อกดาวน์
CPALL ลุ้นกำไรโต Q2/65 ท่องเที่ยวฟื้นเร็ว ดันยอดลูกค้าเข้าร้านสะดวกซื้อ
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส เผยผ่านบทวิเคราะห์ว่า ตลาดยังคงให้น้ำหนักตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ มิ.ย. 2565 ที่เตรียมประกาศวันพรุ่งนี้ 13 ก.ค. 65 โดยคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ อยู่ที่ระดับ 8.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 8.6% ซึ่งสะท้อนภาพภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในขาขึ้น
จากสถานการณ์นี้ส่งผลให้คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐอมริกา หรือ เฟด (Fed) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเชิงรุกในการประชุมวันที่ 27 ก.ค. 2565 และคาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% แต่บางส่วนคาดว่าอาจปรับขึ้นถึง 1%
โดยภาวะดังกล่าวจะทำให้ Inverted Yield Curve ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นอายุ 2 ปีและ 10 ปี ติดลบมากถึง 7-8bp เมื่อวานนี้ (11 ก.ค.65) เงินทุนยังคงไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง โดยเงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่เหนือระดับ 108 จุด สูงสุดรอบเกือบ 20 ปี และยังแข็งค่ามากเมื่อเทียบกับเงินยูโร 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 1.008 ยูโร โดยคาดว่ามีสาเหตุมาจาก
1.ความกังวลการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เพราะบางส่วนมองว่ามีแนวโน้มปรับขึ้นถึง 1% ในช่วงท้ายของเดือน ก.ค. โดย Fed Watch Tool ของ CME Group เครื่องมือวิเคราะห์แนวโน้มการปรับขึ้นหรือลดดอกเบี้ยของ Fed มองว่ามีโอกาสขึ้นดอกเบี้ย 0.75% สูงถึง 92.4% และอีก 7.6% รวมถึงคาดว่ารอบนี้อาจปรับขึ้นได้ถึง 1%
2. Inverted Yield Curve ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 2 ปีและ 10 ปี ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา-ปัจจุบัน ล่าสุด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี อยู่ที่ 2.98% และ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 2 ปี อยู่ที่ 3.05% ส่งผลให้ช่วงห่างของราคา อยู่ที่ -7 bps
3. นักลงทุนยังรอการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน มิ.ย. ซึ่งจะประกาศวันพรุ่งนี้ 13 ก.ค.65 คลาดคาดการณ์ว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 8.8% จากช่วงเดียวกันของปรก่อน แต่สูงกว่าเดือน พ.ค. ที่ 8.6% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาวะเงินเฟ้อยังไม่ถึงจุดต่ำสุด
ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท. มองว่า สถานการณ์เงินบาทอ่อนค่านั้น ยังไม่ได้ทำให้เงินลงทุนไหลออกประเทศอย่างมีนัยวำคัญ ทำให้คาดการณ์ว่า ธปท.อาจไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.5% แต่อาจปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ครั้งละ 0.25%
ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่า หาก ธปท.ปรับขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง จะกดดันเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) อยู่ที่ 1,722 จุด และถ้าขึ้น 2 ครั้ง จะอยู่ที่ 1,643 จุด และถ้าขึ้น 3 ครั้ง จะอยู่ที่ 1,570 จุด
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นอาจผันผวนในช่วงนี้ แต่หากดัชนีลงมาต่ำกว่า 1,570 จุด น่าจะเป็นจังหวะ ในการสะสมเพื่อหวังกำไรระยะยาว หรือแนะนำให้ลดเงินสดเติมเข้าพอร์ต หาก SET ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1,545 จุด และ 1,500 จุด