แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้น หากตลาดเปิดรับความเสี่ยง ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและหนุนให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้าซื้อหุ้นไทย
เปิด 5 เหตุผล ทำไม? ลงทุนทองคำน่าสนใจ
ส่องทองคำสำรองแบงก์กลางทั่วโลก พบ ไทยมีมากสุดในอาเซียน
นอกจากนี้ ผู้เล่นต่างชาติอาจเข้ามาเก็งกำไรฝั่งเงินบาทแข็งค่ามากขึ้น (Long THB) หลังเงินบาทแข็งค่าหลุดโซนแนวรับในช่วงวันหยุดของไทย ทั้งนี้ ยังคงต้องระวังโอกาสที่เงินบาทจะผันผวนสูงขึ้นและกลับมาอ่อนค่าได้ หากทางการจีนใช้มาตรการ Lockdown อีกครั้ง
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 36.00-36.60 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.20-36.40 บาท/ดอลลาร์
ขาขึ้นของเงินดอลลาร์นั้นจบแล้ว และหากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลงยิ่งขึ้นก็จะยิ่งลดโอกาสเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนจากภาวะปิดรับความเสี่ยง หากตลาดผิดหวังกับรายงานผลประกอบการหรือกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปเสี่ยงถดถอยมากขึ้น
ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ดังจะเห็นได้จากความผันผวนของเงินบาทที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ที่ระดับ +2 S.D. (Standard Deviation) เราแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย เช่น Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
สัปดาห์ที่ผ่านมา มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดอาจไม่ได้เร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง ได้หนุนให้ตลาดเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น และกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง
ในสัปดาห์นี้ ตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ข้อมูลตลาดแรงงาน และรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย รายงานเงินเฟ้อ CPI จะเป็นปัจจัยที่ควรจับตาใกล้ชิด
ฝั่งสหรัฐฯ ตลาดมองว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ จะส่งสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น แต่ยังไม่ได้สะท้อนว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) อย่างที่ตลาดกังวล มองว่า ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ แม้จะยังแข็งแกร่ง แต่ก็เริ่มส่งสัญญาณชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้เราประเมินว่า หากเงินเฟ้อรวมถึงเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะกลางไม่ได้เร่งตัวขึ้นไปมาก เฟดก็ไม่ได้จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง
ฝั่งยุโรป ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงในรอบกว่า 40 ปี (อัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI เดือนมิถุนายน อยู่ที่ระดับ 9.4%) ตลาดคาดว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% สู่ระดับ 1.75% และมีโอกาสที่ BOE จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนถึงระดับ 2.50% ภายในสิ้นปีนี้ หรือ มากกว่านั้น หากเศรษฐกิจไม่ได้ชะลอตัวลงหนักหรือเข้าสู่สภาวะถดถอยอย่างที่ BOE เคยออกมาเตือนในเดือนมิถุนายน
ฝั่งเอเชีย ตลาดประเมินว่า ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของจีน โดยเฉพาะในส่วนบริษัทขนาดเล็กและกลางอาจชะลอตัวลงมากขึ้น ท่ามกลางปัญหาหนี้ในภาคอสังหาฯ และการชะลอตัวของภาคการผลิตในฝั่งเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญ ในส่วนนโยบายการเงิน ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) จะตัดสินใจเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เช่นเดียวกันกับ ธนาคารกลางอินเดีย (RBI)
ฝั่งไทย ตลาดมองว่า ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นในเดือนกรกฎาคม อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ในเดือนกรกฎาคม อาจอยู่ที่ระดับ 7.7% (ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า -0.05%) เนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลง จะช่วยลดผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาสินค้าในหมวดอื่นๆ เช่น หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งหากเงินเฟ้อไม่ได้เร่งขึ้นสูงไปมากกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดลดความคาดหวังต่อการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยมากขึ้นและอาจรอจังหวะเข้ามาซื้อบอนด์ระยะกลางถึงยาวเพิ่มเติมได้
ที่มา : นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย
ทองวันนี้ราคา "ไม่ขยับ"ตลาดซึมซับเฟดขึ้นดอกเบี้ย
ตรวจหวย - ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 1 สิงหาคม 2565 ลอตเตอรี่ 1/8/65