เปิดเงื่อนไข รับเงินอุดหนุนซื้อรถ EV จากรัฐ สูงสุด 1.5 แสนบาท/คัน
หุ้นเอเชียดิ่งยกแถว กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย ไทยปิดเช้าทรุด 20 จุด
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส (APSP) เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ ระบุว่า จากการประชุมนักวิเคราะห์ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) หรือ EA โดยฝ่ายมีจัยฯ ให้น้ำหนักเชิงบวกมากขึ้นในการส่งมอบรถบัสโดยสารพลังงานไฟฟ้า (E-Bus) ได้ตามเป้าหมายในปี 2565 ที่ราว 1,200 - 1,500 คัน และในปี 2566-67 คาดจะมีการทยอยส่งมอบอีกราว 2,500 – 3,000 คัน
หลังจากเมื่อ 30 มิ.ย. 2565 EA ได้ประกาศเข้าซื้อหุ้น 23.6% ในบริษัทหลักทรัพย์บียอนด์จํากัด (มหาชน) หรือ BYD
และโอนบริษัทย่อยทั้งหมด 100% ภายใต้ บริษัท อี ทรานสปอร์ต โฮลดิง จำกัด (ETH) ซึ่งได้แก่ ธุรกิจให้บริการเรือโดยสารไฟฟ้า และธุรกิจโดยสารประจำทางในกรุงเทพฯ ให้แก่ BYD
ซึ่งภายหลังจากเสร็จสิ้นธุรกรรมแล้วเสร็จ จะส่งผลให้ EA รับรู้ BYD จะเข้ามาเป็นบริษัทร่วม และช่วยต่อยอดการเติบโตทางธุรกิจ โดยสามารถสร้างยอดขายรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าให้แก่ BYD ได้ราว 3,000 – 4,000 คัน คาดจะมาจากบริษัทย่อยที่ BYD ถือหุ้น ได้แก่ บริษัท สมาร์ทบัส จำกัด (SMB) ราว 800 – 1,500 คัน และ บริษัท ไทย สมายล์บัส จำกัด (TSB) ราว 1,500 คัน นอกจากนี้คาดจะมียอดขาย E-BUS ให้แก่กลุ่มลูกค้าภาคเอกชนรายอื่นได้อีกบ้างเล็กน้อย
ขณะที่ความคืบหน้าด้านการส่งมอบรถในช่วงที่ผ่านมา ทาง EA ยังไม่ได้มีการส่งมอบในปีนี้ แต่ ผู้บริหาร ระบุว่า จะเริ่มทยอยส่งมอบ E-Bus ให้กับกลุ่มลูกค้าดังกล่าวในช่วงไตรมาสที่ 3/65 ได้ราว 500-800 คัน และ ไตรมาสที่ 4/65 อีกราว 1,000 คัน เป็นไปตามแผนการได้รับสัมปทานเดินรถของ “สมาร์ทบัส” และ “ไทย สมายล์บัส” รวมถึงต้องจัดเดินรถตามเงื่อนไขภายใน 180 วัน ตามที่ภาครัฐกำหนด
สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่น ผู้บริหารเผยความคืบหน้ารถบรรทุกไฟฟ้า (ETruck) คาดจะเริ่มมีผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดในช่วงปลาย ไตรมาสที่ 3/65 - ไตรมาสที่ 4/65 และยังมีต้นแบบหัวรถจักรไฟฟ้า ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาออกสู่ตลาดในระยะถัดไป
ฝ่ายวิจัย APSP ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป เพื่อสะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจ E-Bus โดยฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มสมมติฐานส่งมอบบ E-Bus ในปี 2565-66 ขึ้นมาอยู่ที่ 1,200 คัน และ 1,500 คัน จากเดิม 300 คัน และ 400 คันตามลำดับ และในระยะยาว กำหนดให้มีการเติบโตเฉลี่ยต่อเนื่อง 3% ในทุกปีตั้งแต่ ปี 2567 เป็นต้นไป ภายใต้ประมาณการใหม่ ส่งผลให้กำไรปกติปี 2565-66 เพิ่มขึ้น 10.8% และ 13.0% จากเดิม มาอยู่ที่ 6,900 ล้านบาท และ 7,200 ล้านบาท ตามลำดับ รวมถึงส่งผลให้มูลค่าพื้นฐานใหม่ของธุรกิจ E-Bus เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8.0 บาท/หุ้น (เดิม 3.0 บาท/หุ้น)
ทั้งนี้ประเมินมูลค่าพื้นฐานใหม่ ณ สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 65.0 บาท/หุ้น (เดิม 60.0 บาท/หุ้น) โดยรวมเฉพาะธุรกิจที่มีความชัดเจนในปัจจุบันเท่านั้น ประกอบด้วย 1. ธุรกิจเดิม ได้แก่ ธุรกิจโรงไฟฟ้า และ ธุรกิจไบโอดีเซล 2. ธุรกิจแบตเตอรี่ phase 1 กำลังการผลิต 1,000 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh) 3. ธุรกิจ E-Bus อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวขึ้นสะท้อนกระแส EV จนเกินมูลค่าพื้นฐานใหม่ไปมากแล้ว
เริ่มใช้จ่าย 1 ก.ย.นี้ “คนละครึ่ง เฟส 5” พบยังไม่ยืนยันสิทธิเกือบ 8 ล้านราย