กองทุนรวมเพื่อการออม SSF
ส่อง 3 ธนาคารรัฐ คลอดมาตรการช่วยเหลือลูกค้า-ลูกหนี้ ได้รับผลกระทบน้ำท่วม
คนไทยหนี้ยังสูง ยอดบัตรเครดิตพุ่ง หนี้เสียแตะ 4 แสนล้านบาท
SSF ย่อมาจากคำว่า “Super Savings Fund” เพิ่งเริ่มใช้เมื่อต้นปี 2563 ซึ่งเน้นการออมระยะยาวและเป็นตัวช่วยในการลดหย่อนภาษีที่มาแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF ที่หมดอายุไปเมื่อปี 2562
กองทุน SSF มีข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ คือ
ลงทุนในสินทรัพย์อะไรก็ได้ ทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ กองทุนทองคำ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
- ซื้อหน่วยลงทุนเพื่อใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีแต่ไม่เกิน 200,000 บาทและเมื่อรวมกับค่าลดหย่อนการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
- ถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ
- ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อและไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
- นำค่าซื้อมาหักลดหย่อนภาษีได้ในปี 2563 - 2567
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ RMF
สำหรับกองทุน RMF ย่อมาจากคำว่า “Retirement Mutual Fund” เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการออมเงินไว้ใช้จ่ายยามเกษียณอายุ ลักษณะจะคล้ายกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทเอกชน และกองทุนบำเหน็จบำนาญของข้าราชการ
เมื่อต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ก็มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ใหม่ เพื่อให้นักลงทุนได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีมากขึ้น
ปัจจุบันกองทุน RMF มีหลักเกณฑ์ คือ
- ลงทุนในสินทรัพย์อะไรก็ได้ ทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ กองทุนทองคำ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
- ซื้อหน่วยลงทุนเพื่อใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
- ถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก และขายได้ตอนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
- ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อ แต่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี (หรืออย่างน้อยซื้อปีเว้นปี)
- ใช้สิทธิตามเกณฑ์ใหม่ได้ในปีที่ลงทุน เริ่มปี 2563 เป็นต้นไป
วิธีการลดหย่อนภาษี
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / กบข.และกองทุนสงเคราะห์ครู ไม่เกิน 15% ของค่าจ้างสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท รวมกับ กองทุนการออมแห่งชาติ ไม่เกิน 13,200 บาท รวมกับ ประกันชีวิตแบบบำนาญ ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท รวมกับ RMF ไม่เกิน 30% ของเงินพึงประเมินสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท รวมกับ SSF ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท
โดยทั้งหมดรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท