วิเคราะห์หลังดีล ทรู-ดีแทค ควบรวมกิจการ ผู้บริโภคอาจจ่ายแพงขึ้นถึง 33%


โดย PPTV Online

เผยแพร่




วิเคราะห์หลังดีล ทรู-ดีแทค เปิดแบบจำลอง TDRI กับภาระค่าใช้จ่ายผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นเมื่อตลาดโทรคมนาคมไทยกำลังเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการเพิ่มโครงสร้างที่ผูกขาดมากขึ้นจนถึงขั้นอันตราย

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาการวบครวมธุรกิจระหว่าง ทรู-ดีแทค เป็นดีลใหญ่ของปีในแวดวงโทรคมนาคม ซึ่งกว่าจะมาถึงบทสรุปวันที่ 20 ต.ค.ผ่านมานี้ ล้วนเต็มไปด้วยเสียงคัดค้านที่ส่งไปยัง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รวมถึงหนึ่งในคณะกรรมการเสียงข้างน้อยที่ชี้แจงเหตุผล 7 ข้อ ซึ่งอาจนำมาซึ่งการผูดขาดกิจการและประชาชนผู้บริโภคจะเสียประโยชน์ในที่สุด 

กสทช. มีมติเสียงข้างมาก ไฟเขียวควบรวม ทรู- ดีแทค

เตรียมร้องศาลคุ้มครองฉุกเฉิน - ร้อง ป.ป.ช. ปมควบรวม ทรู-ดีแทค

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำถามที่ยังคาใจว่า "เมื่อการควบรวมสำเร็จ" ผู้บริโภคจ่ายค่าบริการแพงหรือไม่

เพราะถ้ามองกันกว้างๆ ผู้บริโภคจะเหลือตัวเลือกแค่ 2 เจ้าใหญ่เท่านั้นในการจะตัดสินใจใช้เครือข่ายมือถือ

หนึ่งในบทความ ของ สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ ทำแบบจำลองไว้น่าสนใจว่า เข้าข่าย "น้อยค่าย จ่ายแพง" โดยระบุว่า ตลาดโทรคมนาคมไทยกำลังเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการเพิ่มโครงสร้างที่ผูกขาดมากขึ้นจนถึงขั้นอันตราย ผู้บริโภคและผู้ประกอบการรายย่อยของไทยจะเหลือทางเลือกน้อยลง และเสี่ยงต่อการถูกเอาเปรียบโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในธุรกิจโรงหนัง ค้าปลีกขนาดใหญ่ โรงพยาบาลและอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะคนรายได้น้อยเท่านั้นที่เดือดร้อน แต่ยังกระทบมาถึงคนชั้นกลางจำนวนมากด้วย

หากผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือลดลงจาก 3 รายเหลือ 2 ราย ค่าบริการจะปรับสูงขึ้น โดยแบบจำลองคาดการณ์ว่าราคา อาจสูงขึ้นถึง 33% ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของนักวิชาการอื่นๆ

นอกจากนี้ การควบรวมกิจการระหว่างรายใหญ่ เป็นอันตรายต่อตลาดการแข่งขัน ซึ่งในประเทศพัฒนาแล้ว การควบรวมกิจการของผู้ให้บริการรายใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้อย่างเสรี โดยหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐจะต้องเปรียบเทียบประโยชน์และความเสี่ยงต่อสังคมที่จะเกิดขึ้นจากการควบรวม เพื่อให้ผู้บริโภคมีโอกาสเลือก ได้ของดี ราคาถูกจากการแข่งขัน โดยไม่ปล่อยให้ตลาดมีระดับการผูกขาดเพิ่มขึ้นมาก

 

นอกจากนี้ อย่างที่กล่าวไป ศ.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. เป็นกรรมการเสียงส่วนน้อยในการพิจารณาการรวมธุรกิจระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ในการประชุม กสทช. นัดพิเศษซึ่งประชุมยาวนาน 11 ชั่วโมง ได้โพส์ข้อความในเฟซบุ๊ก Pirongrong Ramasoota กล่าวถึง 7 เหตุผลสนับสนุนในการออกเสียงส่วนน้อย

โดยในทางกฎหมาย การตัดสินใจสงวนความเห็นที่จะรับทราบการรวมธุรกิจ และยืนยันที่จะไม่อนุญาต เพราะเห็นว่ากรณีดังกล่าว เป็นการถือครองธุรกิจประเภทเดียวกันซึ่งสามารถส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางในตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในแง่การลดหรือจำกัดการแข่งขัน การคุ้มครองผู้บริโภค และการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

ทั้งนี้ โดยอาศัยอำนาจตามข้อ 8 ของประกาศ กทช. เรื่องมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้วย เหตุผลสนับสนุนมี 7 ข้อหลักดังต่อไปนี้ค่ะ 

1) เมื่อรวมธุรกิจ TRUE และ dtac แล้ว จะทำให้เกิดบริษัทใหม่ (NewCo) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TUC) และบริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด (DTN) ดังนั้น ทั้ง TUC และ DTN จะกลายเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีความความสัมพันธ์กันทางนโยบาย หรืออำนาจสั่งการเสมือนเป็นหน่วยธุรกิจเดียวกัน (Single Economic Entity) ที่ไม่มีการแข่งขันระหว่างกันตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ทั้งนี้ ก่อนการรวมธุรกิจ TUC มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 31.99 และ DTN มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 17.41 ภายหลังการรวมธุรกิจ NewCo จะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 49.40 และทำให้ในตลาดเหลือผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 2 ราย หรือเกิดสภาวะ Duopoly

2) SCF Associates Ltd. ที่ปรึกษาอิสระจากต่างประเทศซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแข่งขันและนโยบายการสื่อสารระดับโลกสรุปว่า จากการศึกษาแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบเชิงลบต่อผู้บริโภคมากกว่าข้อดีที่จะเกิดขึ้น อีกทั้งมาตรการเฉพาะเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถเป็นจริงได้ทั้งหมดในบริบทของตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทย เช่น การสนับสนุนให้เกิดผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (MNO) รายใหม่, การส่งเสริมการแข่งขันในตลาดค้าส่ง, การร่วมใช้คลื่น (Roaming) และการโอนคลื่นความถี่ (Spectrum Transfer) เป็นต้น 

ในบริบทของเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องลดช่องว่างทางดิจิทัลอย่างประเทศไทย โทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นอุปกรณ์ที่คนใช้มากที่สุดเพื่อเชื่อมต่อออนไลน์ การรวมธุรกิจซึ่งจะนำไปสู่การกระจุกตัวของตลาด และโอกาสที่ค่าบริการจะสูงขึ้น จึงไม่สมควรอนุญาตด้วยเหตุผลเพื่อการพัฒนาประเทศที่ต้องพึ่งพิงตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีการแข่งขันสูงและเป็นตัวกระตุ้นทางเศรษฐกิจ

3) การบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการรวมธุรกิจภายใต้เงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะต่างๆ ที่บังคับผู้ขอรวมธุรกิจนั้น ไม่น่าจะช่วยเพิ่มระดับการแข่งขันในตลาดได้ และอาจเป็นไปได้ยากในภายหลังจากการควบรวม โดยในส่วนของ กสทช. ก็จะต้องใช้อำนาจทางกฎหมายและทรัพยากรในการกำกับดูแลอย่างมาก โดยไม่อาจคาดหมายได้ว่าเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันในตลาดได้เช่นเดียวกับที่เคยมีอยู่ก่อนการควบรวมหรือไม่ 

4) ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่แสดงถึงประโยชน์ต่อสาธารณะ จากเอกสารประกอบการขอรวมธุรกิจ ยังไม่ชัดเจนและเพียงพอ

5) การรวมธุรกิจมีโอกาสนำไปสู่การผูกขาดและกีดกันการแข่งขัน ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 40, 60, 61 และ 75 และขัดต่อแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 2 ที่ต้องเพิ่มระดับการแข่งขันของการประกอบกิจการโทรคมนาคม

6) การให้รวมธุรกิจจะส่งผลกระทบกว้างขวางและต่อเนื่องในระยะยาว อีกทั้งยังหวนคืนไม่ได้ เพราะตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยอยู่ในภาวะอิ่มตัว ทำให้ผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดและเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดได้ยาก เช่นกรณีการรวมธุรกิจของเม็กซิโกและฟิลิปปินส์ ตามรายงานของที่ปรึกษาอิสระจากต่างประเทศ แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องยากที่จะหวนคืนจากภาวะผูกขาดโดยผู้ประกอบการหนึ่งหรือสองรายไปสู่สภาพการแข่งขันก่อนการรวมธุรกิจ

7) หนึ่งในผู้ขอรวมธุรกิจมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจใกล้ชิดกับกลุ่มธุรกิจครบวงจร (Conglomerate)   รายใหญ่ ซึ่งครอบครองตลาดสินค้าและบริการในระดับค้าปลีกและค้าส่งของทั้งประเทศ จึงมีโอกาสที่จะขยายตลาดโดยใช้กลยุทธ์ขายบริการแบบเหมารวม ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกันกับผู้ประกอบการรายอื่น

 

เอเชียนกมส์2022-B เอเชียนกมส์2022-B
TOP หุ้น การลงทุน
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ