หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเคาะเก็บภาษีขายหุ้น 0.1% โดยในปีแรกจะมีการเก็บภาษีในอัตรา 0.055% ก่อน ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 16,000 ล้านบาท คาดมีผลบังคับใช้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2566
ครม. ผ่านแล้ว! เก็บภาษีหุ้น ปีแรก 0.05% ของมูลค่าหุ้นที่ขาย
รีดภาษีขายหุ้นโกยเงินเข้ารัฐ ส่อกระทบตลาดฯ แนะ 5 ข้อนักลงทุนรับมือ
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) จัดงานสัมมนา FETCO Capital Market Outlook ภาษีขายหุ้นคุ้มหรือไม่ พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ 3 นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และตลาดทุน
รบ.ชี้ภาษีขายหุ้นไทยเก็บต่ำกว่าหลายชาติในเอเชีย ยันไม่เว้นให้รายใหญ่
ทั้ง 3 คนมองตรงกันว่า การเก็บภาษีขายหุ้นเปรียบเสมือนการยิงขาตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเก็บภาษีในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีอาจยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้เศรษฐกิจของประเทศแย่ลงไปอีก
โดย ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้ความเห็นในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีขายหุ้น เนื่องจากตลาดทุนไม่ใช่พื้นที่ของคนรวยเสมอไป แต่เป็นโอกาสของคนธรรมดาที่อยากสร้างฐานะ หรือเก็บออมเงินไว้เตรียมพร้อมสู่วัยเกษียณ หากไม่อยากปิดโอกาสก็ไม่ควรดึงเงินออกจากตลาดทุน
เพราะเงินมูลค่า 16,000 ล้านบาทต่อปี ถือว่าเป็นจำนวนที่สูง หากนำเงินส่วนนี้ซึ่งเป็นเงินลงทุนระยะยาวไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย พร้อมแนะนำว่าหากรัฐบาลต้องการเพิ่มรายได้ ยังมีอีกหลายวิธี อาทิ การเก็บภาษีที่ดิน หรือดำเนินการอย่างจริงจังต่อผู้ที่หนีภาษี
ด้านดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ให้มุมมองในฐานะนักลงทุน ระบุว่า การเก็บภาษีขายหุ้นมีความเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะอาจทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในตลาดประเทศอื่น อย่างสิงคโปร์คู่แข่งสำคัญของไทย ควรเปลี่ยนจากการเก็บภาษีมาเป็นการสนับสนุน ส่งเสริมตลาดทุนให้แข่งขันกับต่างประเทศมากกว่า
ยิ่งมีโครงการใหญ่ ๆ ระดมทุนได้มาก ๆ ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศ เมื่อบริษัทต่าง ๆ เติบโต กิจการเจริญก้าวหน้า ก็จะยิ่งมีเงินจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลมากขึ้น
เหมือนกับการฆ่าห่านเพื่อหวังเอาไข่ทองคำ แต่ทำไมจึงไม่คิดว่าจะขุนห่านตัวนี้อย่างไรเพื่อให้มันฟักไข่ทองคำออกมาได้มากขึ้นเรื่อย ๆ : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ให้มุมมองในฐานะนักลงทุน
การเก็บภาษีขายหุ้นเหมือนกับการ “ยิงขาตัวเอง”
ขณะที่ นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ให้ความเห็นจากมุมมองตลาดทุน ระบุว่า การเก็บภาษีขายหุ้นเหมือนกับการ “ยิงขาตัวเอง” เพราะทุกวันนี้ตลาดทุนไทยเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในอาเซียน และเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผลิตภาษี และดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศ
เพราะฉะนั้น การเก็บภาษีขายหุ้นจะทำให้ต้นทุนในการเข้ามาลงทุนสูงขึ้น จากเดิมที่นักลงทุนต่างชาติเสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 0.03 จะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 0.11 อาจกระทบต่อสภาพคล่องของตลาดทุนไทย จากระดับ 30,000 ล้านบาท อาจเหลือเพียง 10,000 ล้านบาท และโอกาสที่จะทำให้ฟื้นขึ้นมาเหมือนเดิม "ยาก"