ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 14 ก.พ. 66 ได้เห็นชอบวิธีและขั้นตอนยุติการดำเนินการของกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้(Corporate Bond Stabilization Fund) หรือ กองทุน BSF ระบุความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ในตลาดตราสารหนี้ปรับลดลงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด19 คลี่คลาย
ขณะที่ความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจภายนอกลดลง เมื่อเทียบกับช่วงโควิดระบาดหนัก
คลินิกปรับเกณฑ์ใหม่ "หนี้เสียก่อน 1 ก.ย. -เปิด 3 ทางเลือกผ่อนชำระ"
ตราสารหนี้ยังเป็นสินทรัพย์ที่สดใส ทิศทางการลงทุนโลกปี 2566
สำหรับขั้นตอนและวิธียุติการดำเนินการของกองทุน BSF ประกอบด้วย
- ให้ ธปท. ขายคืนหน่วยลงทุนที่ถืออยู่ทั้งหมด (ณ วันที่ 31 ต.ค. 65 BSF มีสินทรัพย์สุทธิ 1,002.63 ล้านบาท)
- ให้ยุติการดำเนินการของกองทุน BSF ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ ครม. เห็นชอบ
- ให้มีการวินิจฉัยผลกำไรหรือความเสียหายของกองทุน BSF ตามหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณที่คณะกรรรมการพิจารณาผลการกำหนดและให้รายงานต่อ ธปท.และกระทรวงการคลัง หากมีกำไรเกิดขึ้นให้ ธปท. นำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน หากเกิดความเสียหายให้กระทรวงการคลังชดเชยแก่ ธปท. ในวงเงินไม่เกิน 4 หมื่นล้านบาท (เป็นไปตามมาตรา 20 และ 21 พ.ร.ก.กำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ.2563) และ
- ให้กองทุน BSF ชำระบัญชีให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันยุติการดำเนินการของกองทุน หากมีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาชำระบัญชีเกินกว่า 90 วัน ให้ขยายได้ครั้งละไม่เกิน 30 วัน จำนวนไม่เกิน 2 ครั้ง
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กองทุน BSF จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ.2563 เพื่อรักษาเสถียรภาพและสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้ที่มีพื้นฐานดีแต่ประสบปัญหาสภาพคล่องชั่วคราวอันเนื่องมากจากการแพร่ระบาดของโควิด19 โดยการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนที่ออกใหม่
แนวทางนี้เป็นมาตรการเชิงป้องกันและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดตราสารหนี้เอกชนในช่วงมีการแพร่ระบาด ทำให้ตลาดกลับมาทำงานปกติได้ในระยะอันสั้น
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาดำเนินการที่ผ่านมา BSF ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือบริษัทผู้ออกตราสารหนี้รายใด เนื่องจากไม่มีบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ขอความช่วยหลือจากกองทุน ทำให้ต่อมาคณะกรรมการกองทุน BSF จึงเห็นชอบให้ยุติการเปิดรับขอความช่วยเหลือมายังกองทุน BSF หลังวันที่ 31 ธ.ค. 65 เป็นต้นไป และให้ยุติการดำเนินงานของกองทุน BSF โดยมีเหตุผลดังนี้
1) ภาวะตลาดตราสารหนี้เอกชนทำงานได้เป็นปกติแล้ว ผู้ออกตราสารหนี้ส่วนใหญ่สามารถระดมทุนได้ตามจำนวนที่เสนอขาย มีหุ้นกู้ออกใหม่มากกว่าหุ้นกู้ที่ครบกำหนดอย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่าโอกาสที่ตราสารหนี้เอกชนจะประสบปัญหาสภาพคล่องมีลดลง
2) คุณภาพหุ้นกู้ในตลาดปรับตัวดีขึ้นในปี 65 สะท้อนจากบริษัทที่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลดลงเมื่อเทียบกับปี 63-64 อีกทั้งหุ้นกู้เสี่ยงที่เข้าข่ายได้รับความช่วยเหลือจากกองทุน BSF มีลดลงเหลือ 16,000 ล้านบาท และในจำนวนนี้มีหุ้นกู้เสี่ยงในกลุ่ม BBB- ที่มีโอกาสขอรับความช่วยเหลือประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะไม่กระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินโดยรวมในระยะต่อไป โดยความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยขณะนี้โดยหลักเป็นปัจจัยภายนอก เช่น การดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางหลักของโลก ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกถดถอย ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งโดยรวมแล้วไม่รุนแรงเท่าช่วงต้นการแพร่ระบาดโควิด19 ในปี 63
3) การแพร่ระบาดของโควิด19 มีความรุนแรงลดลงต่อเนื่อง โดยภาครัฐได้ประกาศลดระดับความรุนแรงจากโรคติดต่ออันตราย เป็น โรคติดต่อเฝ้าระวังตั้งแต่ 1 ต.ค. 65 พร้อมกับผ่อนคลายความเข้มงวดของมาตรการต่างๆ ประชาชนได้รับวัคซีนทั่วถึง การเสียชีวิตไม่เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญและไม่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกจนเกิดความเสี่ยงเชิงระบบในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน