PTT กำไรไตรมาสแรก 2.78 หมื่นล้าน เพิ่ม 12.4% ขาดทุนสต๊อกน้ำมันลด


โดย PPTV Online

เผยแพร่




PTT กำไรไตรมาสแรก 2.78 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4% ขาดทุนสต๊อกน้ำมันลดลงกว่าหมื่นล้าน ขณะที่กำไรจากขายปลีกน้ำมันและไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) หรือ PTT รายงานผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2566 มีกําไรสุทธิจํานวน 27,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,063 ล้านบาท หรือ12.4% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่าน มีกำไรสุทธิ 24,792 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในไตรมาสแรก PTT มีกําไรจากการดําเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจําหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จํานวน 104,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจํานวน 28,689 ล้านบาท หรือ 38.1% จากในไตรมาส 4 ปี 2565 ที่มีจํานวน 75,319 ล้านบาท

PTT กำไร 9.1 หมื่นล้าน ลด 15.9% จากต้นทุนการเงินพุ่ง ปันผล 0.70 บาท

ปตท.แชมป์ ส่งรายได้เข้ารัฐมากสุด 1.89 หมื่นล้านบาท

 

โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น สําหรับธุรกิจการกลั่นมีผลการดําเนินงานเพิ่มขึ้นจากผลขาดทุนสต๊อกนํ้ามันที่ลดลงในไตรมาสนี้ โดยผลขาดทุนจากสต๊อกนํ้ามันของกลุ่มปตท.ลดลงประมาณ 11,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ Market GRM เพิ่มขึ้นจาก 7.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในไตรมาสสี่ ปี 2565 เป็น 8.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ในไตรมาสแรกปี 2566 จากส่วนต่างราคานํ้ามันเบนซินกับนํ้ามันดิบปรับเพิ่มขึ้น และ Crude Premium ที่ปรับลดลง สําหรับผลการดําเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมีปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นทั้งกลุ่มโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ แม้ว่าปริมาณขายปรับตัวลดลง

ผลการดําเนินงานของกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศปรับเพิ่มขึ้นจากกําไรต่อหน่วยของการค้านํ้ามันสําเร็จรูป ระหว่างประเทศ (out-out trading) ปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งผลการดําเนินงานของกลุ่มธุรกิจนํ้ามันและการค้าปลีกปรับเพิ่มขึ้นจากภาพรวมกําไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรเพิ่มขึ้น โดยหลักในผลิตภัณฑ์ดีเซลและเบนซิน รวมทั้ง ผลการดําเนินงานของกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐานปรับตัวดีขึ้นจากโรงไฟฟ้า SPP ที่ค่า Ft ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับต้นทุนก๊าซฯและถ่านหินปรับตัวลดลง

อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดําเนินงานลดลงตามปริมาณการขายเฉลี่ย และราคาขายเฉลี่ยที่ปรับลดลง อีกทั้งกลุ่มธุรกิจก๊าซฯ มีผลการดําเนินงานลดลง โดยหลักจากกําไรขั้นต้นของธุรกิจจัดหาและจัดจําหน่ายก๊าซฯ ลดลงจากกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่มีราคาขายเฉลี่ยลดลงตามทิศทางราคานํ้ามันเตาอ้างอิงในตลาดโลก ประกอบกับต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯ ปรับเพิ่มขึ้นตามราคา Pool Gas

อย่างไรก็ดี กําไรขั้นต้นของธุรกิจโรงแยกก๊าซฯเพิ่มขึ้น จากต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯลดลง ตามราคาก๊าซฯในอ่าว แม้ว่าปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ลดลง ตามความต้องการของลูกค้าที่ลดลง

กําไรสุทธิของปตท. และบริษัทย่อยในไตรมาสแรก ปี 2566 มีจํานวน 27,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจํานวน 9,190 ล้านบาท หรือ 49.2% จากในไตรมาส 4 ปี 2565 ที่จํานวน 18,665 ล้านบาท ตาม EBITDA ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจําหน่ายที่ลดลง ประกอบกับในไตรมาสแรก ปี 2566 มีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจําสุทธิภาษีตามสัดส่วนของปตท. เป็นขาดทุนประมาณ 100 ล้านบาทดังกล่าวข้างต้น ซึ่งลดลงจากไตรมาส 4 ปี 2565 ที่มีผลขาดทุนประมาณ 7,700 ล้านบาท

โดยหลักจากในไตรมาส 4 ปี 2565 มีรายการด้อยค่าสินทรัพย์โครงการโมซัมบิก แอเรีย 1 และประมาณการหนี้สินสําหรับการระงับการดําเนินคดีแบบกลุ่มจากเหตุการณ์แหล่งมอนทาราของ PTTEP อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าจากปัญหาความขัดแย้งและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายประเทศ การปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบในกลุ่มประเทศ OPEC และชาติพันธมิตร จนถึงสิ้นปี 2566 และเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ส่งผลให้ไตรมาส 1 ปี 2566 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) ที่ 104,008 ล้านบาท ลดลง 36,904 ล้านบาท หรือร้อยละ 26.2 จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่จำนวน 140,912 ล้านบาท

โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ซึ่งมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของธุรกิจที่ ปตท. ดำเนินการเอง เช่น กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลงจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงเกือบทุกผลิตภัณฑ์ตามราคาปิโตรเคมีในตลาดที่ใช้อ้างอิง ประกอบกับปริมาณการขายลดลงและต้นทุนค่าเนื้อก๊าซสูงขึ้น สำหรับกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามปริมาณการขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ มีผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ที่ลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 ส่งผลให้ ปตท. และบริษัทย่อยในไตรมาส 1 ปี 2566 มีกำไรสุทธิจำนวน 27,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,063 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.4 จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่จำนวน 24,792 ล้านบาท

ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ ยึดมั่นพันธกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน พร้อมเป็นแรงสำคัญขับเคลื่อนอุตสาหกรรม และประเทศให้เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563 – 2565 ได้ใช้งบประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาผลกระทบของภาคประชาชนจากวิกฤตโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน อาทิ การสำรองน้ำมัน 4 ล้านบาร์เรล การตรึงราคา NGV การช่วยเหลือราคา LPG แก่หาบเร่แผงลอยผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การสนับสนุนเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และการขยายเทอมการชำระเงินแก่ กฟผ. เพื่อลดภาระค่า FT เป็นต้น

ทั้งนี้ ปตท. เร่งเดินหน้ากลยุทธ์ “ปรับ เปลี่ยน ปลูก” เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี 2583 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายใน ปี 2593 ด้วยการทำงานเชิงรุก ปรับกระบวนการผลิต พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ พร้อมเปลี่ยน สู่ธุรกิจพลังงานสะอาด ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขยายสู่ธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน เพิ่มปริมาณการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการ  ปลูกป่าเพิ่ม 1 ล้านไร่ ภายในปี 2573 ในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน เพื่อการมีส่วนร่วมดูแลรักษาป่า ส่งเสริมอาชีพ และรายได้ของชุมชนในพื้นที่ ในอนาคตพื้นที่ป่าเหล่านี้จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 4.15 ล้านตัน/ปี

“ปตท. มุ่งมั่นดำเนินงานในทุกมิติ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย สนับสนุนการใช้พลังงานแห่งอนาคต สร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าสมบูรณ์แบบ พร้อมศึกษาพลังงานไฮโดรเจน และพลังงานหมุนเวียน เพื่อเป็นแรงสำคัญขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพลิกฟื้นผืนป่าให้อุดมสมบูรณ์ นำพาประเทศบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions ได้อย่างยั่งยืนต่อไป”

ราคาหุ้น PTT ปิดตลาดวันนี้ (11 พ.ค.) เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.78% อยู่ที่ 32.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,415.73 ล้านบาท

 

TOP หุ้น การลงทุน
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ