นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นได้จากกลุ่มแบงก์หนุนเป็นหลัก จากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้แบงก์พาณิชย์สามารถจ่ายปันผลได้หลังผล Stress Test ผ่าน ขณะที่กลุ่มพลังงานทรงตัว และตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบสลับกัน ส่วนตลาดในยุโรปก็ทรงตัว คล้ายดาวโจนส์ฟิวเจอร์สที่ทรงตัวบวกราว 0.3% หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ยังแรงอยู่จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป และกำลังรอพัฒนาการวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19
หอการค้าไทย หนุน “คนละครึ่ง เฟส 2” กระตุ้นเศรษฐกิจปีหน้า
แนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้า นายณัฐพล กล่าวว่า ตลาดฯมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ จากเงินบาทที่ยังแข็งค่าทำให้เป็นแรงหนุน Fund Flow ไหลเข้า พร้อมให้แนวต้าน 1,357-1,360 จุด ส่วนแนวรับ 1,335-1,340 จุด
นอกจากนี้ สัปดาห์หน้าให้ติดตามปัจจัยในประเทศเป็นหลัก ทั้งผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) งวดไตรมาส 3/63 ของไทย, ยอดขายรถยนต์ในประเทศ, การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 พ.ย.นี้ ส่วนต่างประเทศให้ติดตามความคืบหน้าวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ส่วนใหญ่ผันผวนในทางลง แต่พอในช่วงท้ายตลาดภาคเช้ามีแรงซื้อโหมเข้ามาซึ่งก็ยังไม่พบสาเหตุชัด แต่หากมองเงินบาทยังอยู่ในทิศทางแข็งค่าอยู่ ซึ่งน่าจะช่วยหนุนให้ Fund Flow ไหลเข้ามาได้เช่นกัน ทั้งนี้ เช้านี้ตลาดบ้านเราก็ปรับตัวได้ดีกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ย่อตัวกัน จากแรงขายทำกำไรหลังจากที่ปรับตัวขึ้นไปมากตอบรับปัจจัยบวกจากนายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และพัฒนาการวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ไปแล้วระดับหนึ่ง
อัปเดตยอดจอง “บ้านพักผู้สูงอายุ” ระดับราคา 2 ล้านกว่าเต็มแล้ว
ขณะที่ตอนนี้มีความกังวลสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาเป็น 1.6 แสนรายต่อวัน จนมีการตั้งทีมคณะทำงานเพื่อสู้กับโควิด ซึ่งก็มีเสนอให้มีการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ 4-6 สัปดาห์ อาจช่วยควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ ด้านยุโรปก็มีการล็อกดาวน์และเห็นผลได้ในระดับหนึ่ง ส่วนสหรัฐฯก็มองว่าน่าจะมีการคุมเข้มก่อนในช่วงรอความสำเร็จของวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19
สำหรับบ้านเราวันนี้ก็ยังได้รับแรงประคองจากกลุ่มแบงก์หลังจากที่แบงก์ชาติให้แบงก์สามารถจ่ายปันผลได้ หลังผล Stress Test ออกมาผ่าน ซึ่งดัชนีฯยังไม่หลุดแนว 1,330-1,320 จุด ก็ถือว่าตลาดฯยังไม่แย่มาก พร้อมให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 18 พ.ย.นี้ พร้อมติดตามผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) งวดไตรมาส 3/63 ของไทยในสัปดาห์หน้า
แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ น.ส.ธีรดา กล่าวว่า ตลาดฯคงจะผันผวน โดยมีแนวรับ 1,330 จุด ส่วนแนวต้าน 1,360 จุด
หุ้นไทย (13 พ.ย.63) เปิดการซื้อขายที่ 1,329.10 จุด ลดลง 7.21 จุด (-0.54%) มูลค่าการซื้อขาย 5,805.77 ล้านบาท ความกังวลสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐที่กลับมาน่าเป็นห่วงมากขึ้น ขณะที่ ดาวโจนส์ปิดร่วงลงกว่า 300 จุด
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งพักฐาน ให้น้ำหนักอิงอ่อนลง จากความกังวลสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐที่กลับมาน่าเป็นห่วงมากขึ้น หลังจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯขึ้นมาเป็น 1.4 แสนคนต่อวัน ทำให้ต้องมีการคุมเข้มและประกาศใช้เคอร์ฟิว อย่างในบอสตัน, ชิคาโก และนิวยอร์ก
ราคาทองวันนี้ – 13 พ.ย. 63 ปรับราคา 3 ครั้ง
ขณะที่ตลาดบ้านเราปรับตัวขึ้นไปมากแล้วด้วย และเช้านี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียติดลบเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดีให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน, สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐ รวมถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) งวดไตรมาส 3/63 ของยุโรป พร้อมกันนี้ให้ติดตามการประชุมกลุ่ม G20 ที่จะมีรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าธนาคารกลางของประเทศกลุ่ม G20 มาร่วมประชุมกันในวันนี้
พร้อมให้แนวรับ 1,325-1,320 จุด ส่วนแนวต้าน 1,340-1,345 จุด
ธปท.ไฟเขียว แบงก์จ่ายปันผลปี 63 ไม่เกิน 50% ของผลการดำเนินงานปีนี้
ขณะที่ ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (12 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจหลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างมากในสหรัฐ ซึ่งทำให้หลายรัฐประกาศใช้มาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด โดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มธนาคารซึ่งมีความอ่อนไหวต่อทิศทางเศรษฐกิจร่วงลงอย่างหนัก ขณะที่หุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มธุรกิจเรือสำราญดิ่งลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้น
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,080.17 จุด ลดลง 317.46 จุด หรือ -1.08% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,537.01 จุด ลดลง 35.65 จุด หรือ -1.00% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,709.59 จุด ลดลง 76.84 จุด หรือ -0.65%