แม่ค้า - วินจยย. โอด “เราชนะ” เยียวยา 3,500 บาท ไม่พอค่าใช้จ่าย ย้ำขอเท่ารอบแรก
จากกรณีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ มาตรการเยียวยาเราชนะ ไปจนถึงการลงทะเบียนเฉพาะกลุ่ม ที่กำหนดให้ประชาชนต้องแย่งกันลงทะเบียน หรือให้เฉพาะกลุ่มเท่านั้น
โดยรศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยกับทีมข่าวพีพีทีวี ระบุว่า นโยบายเยียวยาช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเป็นรัฐสวัสดิการ เป็นสิ่งที่ประชาชนควรได้รับทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะช่วงโควิดที่เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง ทุกคนได้รับผลกระทบใกล้เคียงกันหมด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือประชาชนต้องมาแย่งกันลงทะเบียนในขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน ต้นเหตุมาจากฐานความคิดของภาครัฐที่ไม่ได้มองว่าเป็นสิทธิที่ทุกคนควรได้รับ กลับยัดเยียดให้เป็นเรื่องของความยากจน ต้องมาทำการพิสูจน์สิทธิ์ ต้องหาคนที่ลำบากสุดซึ่งเป็นฐานความคิดของรัฐบาล
อาจารย์ษัษฐรัมย์ มองว่าการใช้มาตรา 33 หรืออายุต่ำกว่า 18 แล้วตัดสินว่าเขายังมีรายได้ไม่ได้รับผลกระทบ เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะคนจำนวนมากถูกเปลี่ยนสภาพการจ้างงาน การถูกตัดโอที เงินที่หายไปแม้ไม่กี่พันบาทก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับกลุ่มเหล่านี้เช่นกัน ยิ่งคนที่มีหนี้สินผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หนี้ทุกอย่างไม่ได้หยุดไปกับรายได้เขาด้วย
โดยในประเทศไทยถือว่ามีระบบถ้วนหน้าจำนวนมากอยู่แล้ว เช่น บัตรประกันสังคม เบี้ยสูงอายุ เพียงนำมาปรับรูปแบบให้เป็นระบบถ้วนหน้า ไม่ต้องให้ประชาชนมาลงทะเบียนผ่านกระบวนการที่วุ่นวายแบบนีั ส่วนงบประมาณของประเทศไทยจะเพียงพอหรือไม่หากมีสวัสดิการถ้วนหน้า ได้รับคำตอบว่า งบประมาณของไทยมีเพียงพอ แต่ไปอยู่ในส่วนที่ไม่มีความจำเป็นในตอนนี้ เช่น งบกระทรวงกลาโหม หากนำเอามาเป็นงบเพื่อดูแลปากท้อง สุขภาพ ความเป็นอยู่ของประชาชนก็จะเพียงพอ เรื่องเงินจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นการจัดลำดับความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของประชาชน
ปรับแล้ว!เราชนะ ไม่ต้องมีสมาร์ทโฟนลงทะเบียน ใช้จ่ายได้ ให้สิทธิจ่าย 'ค่าเช่า'ได้ด้วย
อีกหนึ่งมุมมองทางภาควิชาการ รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระ ด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง กล่าวว่า แนวคิดการเงินแบบแจกถ้วนหน้าถือว่า "เป็นไปไม่ได้" ด้วย 2 ปัจจัย ได้แก่ข้อจำกัดของงบประมาณ หากต้องกู้เงินเพิ่มก็จะส่งผลถึงอัตราหนี้สาธารณะ ซึ่งอยู่ในระดับ 50% แล้ว ถัดมาคือ ผลกระทบที่ได้รับในแต่ละกลุ่มมีความหนักหนาไม่เท่ากัน นอกจากนี้รัฐบาลก็ต้องเอางบประมาณมาใช้เรื่องอื่นด้วย การออกนโยบายจึงต้องเข้าใจถึงสถานการณ์ในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร และจำเป็นแค่ไหน
ซึ่งในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแบบนี้ ย่อมส่งผลต่อรายได้การจัดเก็บภาษีของภาครัฐตามไปด้วย การใช้งบประมาณจึงต้องเพิ่มความระมัดระวัง แล้วนำเงินไปใช้สนับสนุนในหลายส่วน เช่น นำเงินไปช่วยผู้ประกอบเพื่อรักษาการจ้างงานเพื่อไม่ให้วนกลับมากระทบกับประชาชนอีกรอบหนึ่ง