กกร.ปรับเพิ่ม GDP หลังคาดการณ์เศรษฐกิจไทยโค้งสุดท้ายปีนี้ดีขึ้น


โดย PPTV Online

เผยแพร่




คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ชี้เศรษฐกิจไทยโค้งสุดท้ายปีนี้ดีขึ้นจากการจัดสรรวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ การติดเชื้อโควิดที่เริ่มดีขึ้น

ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร.ประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย หอการค้าไทย และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประเมินว่า สถานการณ์ติดเชื้อโควิดในประเทศเริ่มดีขึ้น การจัดสรรวัคซีนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้น กกร.จึงปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยดีขึ้น พร้อมเสนอให้ภาครัฐใช้มาตรการ Bubble & Seal แทนที่การล็อกดาวน์เพราะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมาก

3 ปัจจัยหลักพาเศรษฐกิจไทยทยอยปรับตัวดีขึ้นหลังโควิด-19 เริ่มผ่อนคลาย

กกร.หั่นจีดีพีเหลือ 0 ถึง -1.5 % หลังประเมินเศรษฐกิจไทยถดถอยยาว

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีปัจจัยบวกที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทยจากแผนการจัดหาวัคซีนที่ครอบคลุมประชากรมากขึ้น และ แนวโน้มการติดเชื้อที่เริ่มผ่อนคลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ที่ประชุม กกร. จึงปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ดีขึ้นมาอยู่ในกรอบ -0.5% ถึง 1.0% ในส่วนของการส่งออก กกร. คาดว่าจะขยายตัว 12.0% ถึง 14.0% จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดี ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐให้การสนับสนุนภาคธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีวัคซีนให้แรงงานได้ทั่วถึง และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายการทำ Rapid Test ต่างๆ เพื่อให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างทันท่วงที ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1.0% ถึง 1.2%

กกร.จึงเสนอให้รัฐบาลจัดหาและนำเข้ามาวัคซีนมาอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญคือ ต้องดำเนินการให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสื่อสารให้ชัดเจน ไม่ให้สับสน และโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

นอกจากนี้เห็นด้วยกับการคลายล็อกดาวน์ของรัฐบาล และไม่ควรมีการใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกต่อไป  เพราะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจค่อนข้างมาก แต่ควรใช้มาตรการ  Bubble & Seal ร่วมกับการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit เชิงรุก โดยใช้ศักยภาพของภาคเอกชนอย่างเต็มที่ในทางที่เสริมและไม่แย่งกัน เพื่อให้การป้องกันโควิด-19  เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

รัฐบาลควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยมาตรการระยะสั้น เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ เช่น โครงการคนละครึ่ง 3,000-6,000 บาท เพราะเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพ ส่วนมาตรการระยะยาว มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างและรักษาฐานการผลิต รับมือสงครามทางการค้า (Trade war)  ผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ๆ (New s-Curve) โดยการลงทุนภาครัฐควรทำต่อเนื่องทั้งการลงทุนโดยรัฐเอง และการลงทุนแบบ PPP พร้อมสร้างบรรยากาศการลงทุน และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปอย่างเต็มศักยภาพ 

นอกจากนี้ รัฐควรเพิ่มงบประมาณสำหรับการช่วยผู้ประกอบการ SMEs ผ่านการเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งในต่างประเทศมีสัดส่วนการค้ำประกันที่ทางการสนับสนุนสูงถึง 80-100% ของยอดสินเชื่อ ขณะที่ประเทศไทยมีสัดส่วนการค้ำประกันเพียง 40%

พร้อมขอให้ภาครัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายชุดตรวจ antigen test kit ในการตรวจหาเชื้อในภาคอุตสาหกรรม โดยให้ความช่วยเหลือในเรื่องของชุดตรวจ และ ค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงช่วยเหลือในเรื่องของมาตรการการจ่ายภาษีเพื่อลดภาระของผู้ประกอบการ

แนะวิธีใช้ถังออกซิเจนในบ้านอย่างปลอดภัย เพียงแค่ปฏิบัติ 3 ขั้นตอนนี้

 

 

TOP เศรษฐกิจ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ