หุ้นไทย (25 ต.ค.64) ปิดการซื้อขาย -9.22 จุด


โดย PPTV Online

เผยแพร่




หุ้นไทย (25 ต.ค.64) ปิดการซื้อขาย -9.22 จุด ระดับ 1,634.20 จุด มูลค่าการซื้อขาย 65,177.10 ล้านบาท

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่

นายกฯ มอบรมว.พาณิชย์ สอบปมส่งถุงมือยางใช้แล้วไปสหรัฐฯ

"เดลตา พลัส" เข้าไทย เจอแล้ว 1 ราย

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 4,007.71 ล้านบาท ปิดที่ 141.00 บาท ลดลง 0.50 บาท

BBL มูลค่าการซื้อขาย 2,514.46 ล้านบาท ปิดที่ 123.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท

BANPU มูลค่าการซื้อขาย 2,114.75 ล้านบาท ปิดที่ 12.10 บาท ลดลง 0.40 บาท

SPALI มูลค่าการซื้อขาย 1,665.34 ล้านบาท ปิดที่ 22.80 บาท เพิ่มขึ้น 1.20 บาท

AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,612.72 ล้านบาท ปิดที่ 65.00 บาท ลดลง 0.75 บาท

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้เผชิญแรงขายจากหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) หลังจากที่จีนส่งสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งรอบนี้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้นไปเกิดจากการขาดแคลน Supply ทำให้รอบนี้มองว่าการปรับตัวขึ้นของกลุ่ม Commodity ไม่ยั่งยืนเพราะไม่ได้เกิดจากความต้องการ

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และตลาดในยุโรปที่เทรดบ่ายนี้ต่างก็แกว่งไซด์เวย์ ซึ่งช่วงนี้ตลาดหุ้นต่างประเทศจะเคลื่อนไหวไปตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในแต่ละตลาดฯ โดยสัปดาห์นี้มีการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะต้องติดตาม แต่ไม่ได้ให้น้ำหนักเท่าไร

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (26 ต.ค.) นายสรพล กล่าวว่า ตลาดฯคงจะแกว่งอย่างไร้ทิศทางหลังจากที่ได้ตอบรับเรื่องการเปิดเมือง (Reopening) ไปแล้ว จากนี้ก็ให้รอดูการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 4 พ.ย.นี้ ว่าจะมีการส่งสัญญาณอย่างไร โดยให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,630-1,645 จุด ขณะที่กรอบสัปดาห์นี้ให้ไว้ที่ 1,610-1,660 จุด

 

 

หุ้นไทย (25 ต.ค.64) ปิดการซื้อขายเช้าร่วงไป 9.00จุด  ตลาดไม่ตอบรับการเปิดประเทศเท่าที่ควร

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่

ลงทะเบียนเยียวยา “แท็กซี่- วินมอเตอร์ไซด์รับจ้าง” รับวันแรก

"ไทย" ขึ้นพาดหัวสื่อระดับโลก ส่งออก "ถุงมือยางใช้แล้ว" ไปหลายประเทศ

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,879.13 ล้านบาท ปิดที่ 141.00 บาท ลดลง 0.50 บาท

BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,914.18 ล้านบาท ปิดที่ 124.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท

BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,622.33 ล้านบาท ปิดที่ 12.20 บาท ลดลง 0.30 บาท

SPALI มูลค่าการซื้อขาย 1,305.49 ล้านบาท ปิดที่ 22.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท

AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,250.74 ล้านบาท ปิดที่ 65.00 บาท ลดลง 0.75 บาท

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่ง Sideway ถึง Sideway Down ไม่ตอบรับการเปิดประเทศเท่าใดนัก แต่กลับไปให้น้ำหนักเรื่องที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่าจะปรับลดการซื้อสินทรัพย์ โดยคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐมีโอกาสสูงขึ้นไปจนถึงปีหน้า ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินกันต่อไป

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ทั้งในแดนบวก-ลบ ช่วงรอติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 ต.ค.นี้ ส่วนบ้านเราต้องติดตามดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยในวันที่ 27 ต.ค.

แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ นายกรภัทร กล่าวว่า ตลาดฯคงจะยังติดลย โดยมีแนวรับ 1,620 จุด ส่วนแนวต้าน 1,640 จุด

หุ้นไทย (25 ต.ค.64)  คาดแกว่งไซด์เวย์ เปิดการซื้อขาย ลดลง -1.58 จุด  แม้มีปัจจัยบวกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว แต่ยังกังวลราคาพลังงานที่สูงขึ้น

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ แม้จะมีปัจจัยบวกในประเทศจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ มาช่วยหนุนภาคการท่องเที่ยว และภาคการบริโภคให้ฟื้นตัวขึ้นได้ รวมถึงยังมีการผ่อนเกณฑ์มาตรการ LTV ด้วย แต่ตลาดยังกังวลราคาพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้ไปกดดันเงินเฟ้อ ส่งผลให้นโยบายการเงินในต่างประเทศอาจมีการเปลี่ยนเปลงเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้

ราคาทองวันนี้ – 25 ต.ค. 64 ปรับราคา 6 ครั้ง รูปพรรณบาทละ 28,750

อุตุฯ เตือน ใต้ระวังฝนตกหนัก- กทม.ตกเฉลี่ยร้อยละ 10 ของพื้นที่

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้แกว่งแคบทั้งในแดนบวก-ลบราว 0.1-0.2% ท่ามกลางการรอดูการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในสัปดาห์นี้ อีกทั้งต่างก็ยังจับตาหนี้ของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป และสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในจีนที่ขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อในหลายมณฑลของจีน

พร้อมให้แนวรับ 1,638 ถัดไป 1,633-1,634 จุด ส่วนแนวต้าน 1,650-1,652 จุด

กลยุทธ์ลงทุนกับ บล.ไทยพาณิชย์ เคลื่อนไหวในกรอบ เข้าสู่ช่วงประกาศงบฯ Real Sector

กลยุทธ์การลงทุน:
คาด SET เคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1630-1657 จุด โดยการเข้าสู่ช่วงรายงานงบฯ กลุ่ม Real Sector ซึ่งมีทั้งบวกและลบคละเคล้ากันไป เป็นปัจจัยบวกลบต่อดัชนี ด้านภาพรวม SET คาดมี upside จำกัดบริเวณ 1650-1657 จุด ส่วนกรอบล่างอยู่ที่ 1630 จุด หากต่ำกว่า จะเป็นลบ ประเด็นสำคัญติดตามประชุมเฟดสัปดาห์หน้าที่คาดจะมีการประกาศลด QE กลยุทธ์การลงทุนใช้การ Selective Buy หรือเก็งกำไรอย่างระมัดระวัง

ล็อคเป้าลงทุน:

> คาดตลาดพักตัวช่วงสั้นจากภาพรวมเศรษฐกิจซบเซาและแนวโน้มงบ 3Q64 ไม่ดีนัก เน้นหุ้น domestic play ในพอร์ตหลักที่เป็นหุ้นปลอดภัย ปัจจัยพื้นฐานและกำไรยังมี momentum ที่ดี

> พอร์ตหลัก 1) หุ้นโรงไฟฟ้าที่คาดกำไร 3Q64 เติบโตดีทั้ง YoY, QoQ และได้อานิสงส์จากบาทแข็งค่า เลือก GPSC BGRIM 2) หุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานดี ราคาหุ้นยัง laggard เลือก BDMS 3) หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก bond yield ขยับขึ้น เลือก BLA

> พอร์ตเทรดดิ้ง เก็งกำไรหุ้นที่มักตอบสนองเชิงบวกช่วงประกาศงบ DTAC และหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการทยอยฟื้นตัว HMPRO GLOBAL

> Conviction Call ราคาน้ำมันยังปรับขึ้นจากภาวะอุปทานตึงตัว ยังเป็นโมเมนตัมบวกต่อการเก็งกำไรใน PTTEP (ทั้งนี้เราแนะนำทยอยขายทำกำไรเมื่อราคาน้ำมันปรับขึ้นมาที่ระดับ US$90/bbl ซึ่งเป็นระดับที่มองว่าผลตอบแทนต่อความเสี่ยงเริ่มไม่คุ้มค่า)

TOP เศรษฐกิจ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ