ปรากฏการณ์ “ลาออกครั้งใหญ่” ของแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก


โดย PPTV Online

เผยแพร่




1 ใน 5 ของลูกจ้างแรงงานเอเชียแปซิฟิก มีแผนเปลี่ยนงานใหม่ 1 ใน 3 ต้องการขอขึ้นเงินเดือน-เลื่อนตำแหน่ง เกิดปรากฏการณ์ ลาออกครั้งใหญ่

การสำรวจความคิดเห็นของพนักงานจำนวนเกือบ 18,000 คนในทวีปเอเชียแปซิฟิก พบว่า พนักงานที่ถูกสำรวจเพียง 57% เท่านั้น ที่มีความพึงพอใจกับงานที่ทำอยู่

Work From Home ทำให้ Work-life Balance มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

ผลสำรวจ Gen Z - Gen Y กับเหตุผลในการเลือก “องค์กรทำงาน”

ขณะที่ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ประมาณหนึ่งในสามมีแผนที่จะขอขึ้นเงินเดือน และในสัดส่วนที่เท่ากันต้องการที่จะขอเลื่อนตำแหน่ง นอกจากนี้ 1 ใน 5 ของลูกจ้าง ยังมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนงานใหม่

สะท้อนถึงปัญหาด้านแรงงานที่บริษัทต่าง ๆ ทั่วทั้งภูมิภาคจะต้องเร่งแก้ไข ในขณะที่นายจ้างหลายราย เผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะและความสามารถสูงมาหลายปีแล้ว

นายเรย์มอนด์ ชาว ประธาน PwC ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า ในขณะที่โลกยังคงเผชิญกับกระแสดิสรัปชัน นี่ทำให้พนักงานทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้หันมาทบทวนรูปแบบการใช้ชีวิตของตัวเอง โดยคำนึงถึงเรื่องงานเป็นอันดับแรก วันนี้การเปลี่ยนแปลงด้านแรงงานได้เกิดขึ้นในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปจากเดิม

ธุรกิจจำเป็นที่จะต้องลงทุนในการเพิ่มทักษะให้กับคนในระยะยาวซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งตัวลูกจ้างและองค์กร ยิ่งไปกว่านี้ พนักงานยังมองหานายจ้างที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งองค์กรไหนสามารถนำคนและเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมาทำงานร่วมกันได้ องค์กรนั้น ๆ ก็จะสามารถสร้างความไว้วางใจและส่งมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืนต่อไปได้”

"เงินเดือนค่าจ้าง" อาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมด

เมื่อ ผลตอบแทนมีความสำคัญ เช่นเดียวกับการได้ทำงานที่มีคุณค่าและความหมาย ท่ามกลางภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว การจ่ายผลตอบแทนที่มากขึ้นของนายจ้างเพียงอย่างเดียว อาจไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืนนัก และแม้ว่าบางอุตสาหกรรมจะเสนอค่าจ้างสูงขึ้นถึง 20-40%

ผลสำรวจชี้ว่า 68% ของลูกจ้างในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ต้องการได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ให้ความสำคัญกับสิ่งอื่น ๆ ด้วย เช่น 64% ของแรงงาน ต้องการทำงานที่ให้ความรู้สึกเติมเต็มและมีความหมาย และ 62% ต้องการทำงานในสถานที่ที่ตนจะได้แสดงความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งความต้องการเหล่านี้ ถือเป็นความต้องการพื้นฐานที่เหมือนกันไม่ว่าพนักงานจะทำงานจากที่บ้าน ทำงานแบบไฮบริด หรือทำงาน ณ สถานที่ทำงานก็ตาม

และเมื่อพูดถึงการรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้คงอยู่กับองค์กร ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า ยังมีสิ่งที่องค์กรในภูมิภาคนี้จะต้องปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ โดยพนักงานเพียง 36% ที่กล่าวว่า นายจ้างของพวกเขามีการสนับสนุนการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิต

66% ของพนักงานรู้สึกว่า นายจ้างไม่ได้สนับสนุนให้พวกเขามีการตัดสินใจอย่างมีจริยธรรม

73% ของพนักงานรู้สึกว่า นายจ้างไม่ได้สนับสนุนให้มีการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ

การยกระดับทักษะ ต้องเกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย

จากการสำรวจของเราพบว่า นายจ้างน้อยกว่าครึ่ง (45%) มีการยกระดับทักษะแรงงานของตน โดยบ่อยครั้งพบว่า มีหลายองค์กรที่มองว่า การยกระดับทักษะเป็นวิธีแก้ปัญหาระยะสั้นในการอุดช่องว่างด้านทักษะ แทนที่จะใช้วิธีพัฒนาแรงงานเชิงกลยุทธ์ ทั้งนี้ หนึ่งในสามของพนักงานระบุว่า องค์กรของพวกเขาขาดคนที่มีทักษะในการปฏิบัติงาน ดังนั้น ผู้บริหารจำเป็นที่จะต้องพิจารณาการยกระดับทักษะในลักษณะองค์รวมมากขึ้น โดยพิจารณาความต้องการของทั้งพนักงานและบริษัทในระยะยาว ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของตลาดในภาพรวมด้วย

นางนอราห์ เซดดอน หัวหน้าสายงาน People & Organisation ของ PwC ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า แม้ว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดจะมีความสำคัญ แต่เสียงของพนักงาน ถือว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ โดยธุรกิจจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริงในระยะยาว หากเป้าประสงค์ไม่สอดคล้องกับค่านิยมของคนในองค์กร ดังนั้น จุดยืนขององค์กร จึงกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถสูง อย่าลืมว่า เราทุกคนต่างออกเสียงด้วยความคิด ความรู้สึก และสุดท้าย การกระทำในการตัดสินใจที่จะเดินออกมาจากที่ที่เรารู้สึกไม่พอใจ

 

ผลสำรวจเปิดเผยด้วยว่า รูปแบบการทำงานแบบผสมผสานการทำงานจากที่บ้านและสถานที่ทำงาน (Hybrid work) จะคงดำเนินต่อไป โดย 68% ของผู้ถูกสำรวจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคิดว่า นายจ้างของพวกเขาจะใช้นโยบายการทำงานแบบไฮบริดในอีก 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ลูกจ้างก็เห็นด้วยกับการทำงานรูปแบบนี้ในสัดส่วนเดียวกัน อย่างไรก็ดี มีเพียง 10% ของแรงงานทั่วทั้งภูมิภาค ที่ต้องการทำงาน ณ สถานที่ทำงานในช่วง 12 เดือนนับจากนี้

แม้ว่าพนักงานส่วนใหญ่ต้องการที่จะทำงานแบบไฮบริด แต่องค์กรก็ไม่ควรมองข้ามพนักงานที่ต้องทำงานทางไกล หรือทำงาน ณ สถานที่ทำงานอย่างเต็มรูปแบบด้วยเช่นกัน โดย 38% ของลูกจ้างที่ไม่สามารถทำงานทางไกลได้ มีแนวโน้มที่จะรู้สึกไม่พอใจต่องานที่ทำ ในขณะที่พนักงานที่สามารถทำงานทางไกลได้ ก็มีความกังวลมากเป็นสองเท่าว่า จะถูกมองข้ามในการเลื่อนตำแหน่งและมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนงานในที่สุด

ลูกจ้างชาวไทยให้ความสำคัญกับการบริหารความหลากหลายและยอมรับความแตกต่าง

นาย ชาญชัย ชัยประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า การสนับสนุนความหลากหลายและยอมรับความแตกต่างของพนักงานภายในองค์กร (Diversity and Inclusion) ถือเป็นสิ่งที่แรงงานไทยต้องการให้นายจ้างของพวกเขาสนับสนุนเป็นลำดับต้น ๆ โดย 43% ของลูกจ้างชาวไทยที่ถูกสำรวจระบุว่า ต้องการให้นายจ้างยอมรับการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างในการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

จากการสำรวจแรงงานไทยจำนวนกว่า 1,000 รายพบว่า 73% ของลูกจ้างชาวไทยคาดหวังว่า นายจ้างของพวกเขาจะใช้นโยบายการทำงานแบบไฮบริดในอีก 12 เดือนข้างหน้า และมีเพียง 4% ของที่ต้องการกลับไปทำงาน ณ สถานที่ทำงาน

ปัจจุบันหลายองค์กรเริ่มทยอยเรียกพนักงานกลับมาปฏิบัติงานที่ออฟฟิศกันมากขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย แต่ผู้บริหารจะต้องพิจารณารูปแบบการทำงานให้เหมาะสมกับตัวธุรกิจ และลักษณะงานของบุคลากรเป็นสำคัญด้วย วันนี้เราคงต้องยอมรับว่า สิ่งที่กลายเป็นวิถีใหม่แห่งโลกการทำงานยุคนิวนอร์มอลที่คนต้องการและคาดหวังจากนายจ้าง คือ ความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งหากขาดจุดนี้ไปเมื่อไหร่ ย่อมจะทำให้พนักงานตั้งคำถามกับนโยบายขององค์กร จนอาจทำให้พนักงานที่เป็นทาเลนต์หลุดมือไปจากบริษัทในที่สุด ฉะนั้น ประเด็นนี้ถือว่ามีความละเอียดอ่อนมากนัก งานได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นก่อนตัดสินใจและกำหนดเป็นนโยบายของบริษัท ในขณะเดียวกัน การลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานจากที่ใดก็ได้ (Work from Anywhere) อย่างมีประสิทธิภาพ จะยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่องค์กรรุ่นใหม่จะต้องไม่มองข้าม

TOP เศรษฐกิจ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ