ภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือน ส.ค. 2565 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่ง เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 62.7% ปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน 67%
“กรุงไทย” ออกหุ้นกู้อนุพันธ์ คุ้มครองเงินต้น 100% ดอกเบี้ยคงที่ 1.45% ต่อปี
เช็กสภาพเศรษฐกิจไทย ปลายปี 65 ต่อ ปี 66 หวังพึ่งแรงขับท่องเที่ยว
ขณะที่รายได้เกษตรกรที่แท้จริง 2565 ขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 9.7% ส่วนการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน 10.1%
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 43.7 จากระดับ 42.4 ในเดือนก่อน เป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยเป็นผลมาจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น แต่ยังมีความกังวลในเรื่องการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ที่ทำให้ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนในเดือน ส.ค. 2565 เพิ่มขึ้นจากจากช่วงเดียวกัน ปีก่อนที่ 0.5% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 3.2%
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ส.ค. 2565 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 61.2% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -5.2%
สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือน ส.ค. 2565 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 1.7% ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 29.2%
"ส่งออก" ยังขยายตัวต่อเนื่อง 7.5%
มูลค่าการส่งออกสินค้ายังขยายตัวได้ต่อเนื่อง เดือน ส.ค. 2565 อยู่ที่ 23,632.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันที่ 7.5% ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 โดยเป็นการขยายตัวทั้ง สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร โดยเฉพาะน้ำตาลทราย ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง อาหารสัตว์เลี้ยง และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป สินค้าอุตสาหกรรม เช่น เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่งจักรกลและส่วนประกอบ
อย่างไรก็ดี สินค้ายางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน
ส่วนตลาดคู่ค้าหลักของไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดหลัก ได้แก่ ตะวันออกกลาง อาเซียน 9 อินเดีย และสหรัฐฯ
ในส่วนของ "ภาคการท่องเที่ยว" ที่เป็นความหวัง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 7,677.2% ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย อินเดีย เวียดนาม ลาว และเกาหลีใต้ ตามลำดับ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศ
ภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 14.5% สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ที่เพิ่มขึ้น ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยมีปัจจัยมาจากภาคการผลิตที่ยังคงขยายตัวตามความต้องการสินค้าโดยเฉพาะตลาดในประเทศ หลังการเปิดประเทศและมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ
แต่ยังมีความกังวลจากต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูงจากราคาวัตถุดิบและพลังงาน รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลต่อการผลิตและส่งออกสินค้าในระยะต่อไป
เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้มีปัจจัยกดดันจากอัตราเงินเฟ้อ (เดือน ส.ค. 7.86%) ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 อยู่ที่ 60.75% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 รวมทั้งผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานรายใหม่ ในเดือนสิงหาคม 2565 อยู่ที่ 0.68% ของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ทั้งหมด สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2565 อยู่ในระดับสูงที่ 215.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ