ราคาน้ำมันในตลาดโลกขยับลง จากนักลงทุนคาดว่าการผลิตน้ำมันในสหรัฐจะปรับเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจจีนชะลอตัว รวมถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจีนยังเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง นอกจากนี้นักลงทุนยังกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยแรงฉุดเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันในระยะต่อไป
ในตลาดเอเชีย เช้านี้(1 พ.ย.) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ร่วงไปอยู่ที่ระดับ 92 ดอลลาร์/บาร์เรล และน้ำมันดิบ WTI ร่วง 1.37 ดอลลาร์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 86.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
ไม่น่าเชื่อ! สงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นจุดเปลี่ยน"ก้าวพ้นพลังงานฟอสซิล"
นักท่องเที่ยวทะลุล้านคนเดือนที่ 3 หนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นต่อเนื่อง
ราคาน้ำมันแนวโน้มลงต่อเนื่อง จากอุปทานทะลัก สหรัฐระบายน้ำมันสำรอง
ราคาน้ำมันโลกในตลาด ย้อนหลัง 15 วัน
อย่างไรก็ตาม หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT รายงานว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 28 ต.ค. 65 เพิ่มขึ้น จากอุปสงค์น้ำมันมีแนวโน้มฟื้นตัว ท่ามกลางรายงานตัวเลขของประเทศเศรษฐกิจหลัก อาทิ จีน และสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดการณ์
กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ รายงานอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในไตรมาส 3/65 อยู่ที่ +2.6% จากไตรมาสก่อนหน้า สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ +2.4% จากไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 และ 2/65 GDP สหรัฐฯ หดตัวที่ -1.6% และ -0.6% จากไตรมาสก่อนหน้า ตามลำดับ ซึ่งทางเทคนิคถือว่าเข้าสู่ภาวะถดถอย
แนวโน้มราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้มีแนวโน้มอ่อนตัวลง โดยคาดว่าจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 92-97 เหรียญสหรัฐฯ โดยราคาน้ำมันดิบ ICE Brent ปิดตลาดในวันศุกร์ที่ 28 ต.ค. 65 ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ จากความกังวลการแพร่ระบาด COVID-19 ในจีนระลอกใหม่ ทำให้รัฐบาลจีนเพิ่มมาตรการควบคุม COVID-19 ในหลายเมือง อาทิ Guangzhou, Wuhan และ Xining หลังรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่ ณ วันที่ 28 ต.ค. 65 อยู่ที่ 1,658 ราย เพิ่มขึ้นจาก 1,506 ราย ในวันก่อนหน้า
เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดยดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเทียบกับตะกร้าเงินสกุลหลักของโลกปิดตลาดวันที่ 28 ต.ค. 65 เพิ่มขึ้น 0.16 จุด อยู่ที่ 110.75 จุด เพิ่มขึ้นต่อเนื่องวันที่ 2 จากนักลงทุนคาดการณ์ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) จะปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ในวันที่ 1-2 พ.ย. 65
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ
- Reuters รายงาน อินเดียนำเข้าน้ำมันดิบในเดือน ก.ย. 65 ลดลง 5.6% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 3.91 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่ำสุดในรอบ 14 เดือน
- วันที่ 27 ต.ค. 65 ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank: ECB) มีมติปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น 0.75% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย Deposit Facility Rate อยู่ที่ 1.5%, อัตราดอกเบี้ย Refinancing Operations Rate อยู่ที่ 2.0% และอัตราดอกเบี้ย Marginal Lending Facility Rate อยู่ที่ 2.25% และประธาน ECB นาง Christine Lagarde กล่าวเสริมว่า เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากวิกฤติอาหารและพลังงานเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มชะลอตัว
- สำนักสถิติแห่งชาติของรัสเซีย (Rosstat) รายงาน ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสท ในเดือน ก.ย. 65 เพิ่มขึ้น 0.16 แสนบาร์เรลต่อวัน จากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 10.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ รัสเซียผลิตคอนเดนเสทประมาณ 7-8 แสนบาร์เรลต่อวัน
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก
- สำนักสถิติแห่งชาติจีนรายงานอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในไตรมาส 3/65 อยู่ที่ +3.9% จากปีก่อนหน้า สูงกว่าไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ +0.4% จากปีก่อนหน้า
- Baker Hughes Inc. รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 28 ต.ค. 65 ลดลง 2 แท่น จากสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 610 แท่น