ราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นวันที่สอง ตลาดคาดการณ์ความต้องการจากจีนเพิ่มขึ้น ในขณะที่กังวลแผ่นดินไหวในตุรกีกระทบท่อส่งน้ำมัน หลังจากเกิดความเสียหายในวงกว้าง
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ เพิ่มขึ้น 0.82 เหรียญ หรือ 1.01% เคลื่อนไหวที่ 81.81 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.82 เหรียญสหรัฐ หรือ 1.11% อยู่ที่ระดับ 74.93 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
คาดกนง.ขึ้นดอกเบี้ยแตะ 2% ในครึ่งปีแรก จากเงินเฟ้อสูงกว่าเป้า
เงินเฟ้อไทยต่ำสุดรอบ 9 เดือน - นักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่ง แนะหุ้นได้อานิสงส์
การเคลื่อนไหวราคาน้ำมันในรอบ 15 วัน
ทีมวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT รายงานว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยรายสัปดาห์ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 เดือน จากธนาคารกลางหลักทั่วโลกทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายพร้อมกันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อสกัดเวินเฟ้อ ซึ่งกดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยทางเทคนิคในสัปดาห์นี้คาดว่าราคา ICE Brent จะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 80 - 85 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75%, ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% สู่ระดับ 4.0% และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำรองของธนาคารพาณิชย์ (Deposit Facility Rate) และอัตราดอกเบี้ยสำหรับปล่อยสภาพคล่องให้แก่ธนาคารพาณิชย์ (Main Refinancing Operations Rate) มาอยู่ที่ 2.5% และ 3.0% ตามลำดับ
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payroll) ในเดือน ม.ค. 66 เพิ่มขึ้น517,000 ราย จากเดือนก่อนหน้า สูงกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 187,000 ราย จากเดือนก่อนหน้า ขณะที่อัตราว่างงาน (Unemployment Rate) อยู่ที่ 3.4% ต่ำสุดในรอบ 54 ปี ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง กดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัว
อย่างไรก็ดี ประธาน Fed นาย Jerome Powell คาดว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้ง เพื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและสามารถลดอัตราเงินเฟ้อสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% (อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. 65 อยู่ที่ 6.5%)
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก
- Caixin/Markit รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคบริการ (Composite Purchasing Manager Index: PMI) ของจีน ในเดือน ม.ค. 66 เพิ่มขึ้น 2.8 จุด จากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 51.1 จุด ขยายตัวครั้งแรกตั้งแต่เดือน ส.ค. 65 โดยได้แรงหนุนจากการยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19
- วันที่ 1 ก.พ. 66 ที่ประชุม Joint Ministerial Monitoring Committee (JMMC) ของกลุ่ม OPEC และพันธมิตร (OPEC+) คงนโยบายลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบตามผลการประชุมเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 65 ที่ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงสิ้นปี 2566 ทั้งนี้ จะมีการประชุมครั้งถัดไปวันที่ 3 เม.ย. 2566
- Bloomberg รายงานกลุ่ม OPEC ผลิตน้ำมันดิบในเดือน ม.ค. 66 ลดลง 6 หมื่นบาร์เรลต่อวัน จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 29.12 ล้านบาร์เรลต่อวัน
- Ministry of Economy, Trade and Industry (METI) รายงานญี่ปุ่นนำเข้าน้ำมันดิบ ในปี 2565 เพิ่มขึ้น 9.7% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 2.73 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 2 ปี จากอุปสงค์พลังงานฟื้นตัวต่อเนื่อง
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ