25 เม.ย.ของทุกปี เป็นวันวันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้ทรงกอบกู้อิสรภาพของไทย วันนี้เราจะพาไปดูสถานที่สำคัญในตำนานบางส่วนที่เคยเกี่ยวข้องกับพระองค์
"18 มกราคม วันกองทัพไทย วันยุทธหัตถี และวันสมเด็จพระนเรศวรมหาราช"
เที่ยว “ตลาดท่าฬ่อ” ไหว้เจ้าแม่ทับทิม ชิมอาหารพื้นถิ่นสูตรไหหลำโบราณ
{related-line- 5974}
1. พระราชวังจันทน์ จ.พิษณุโลก
สถานที่เสด็จพระราชสมภพ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จพระราชสมภพ ณ พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก ในปี พ.ศ.2098 เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธิกษัตรี พระองค์ทรงมีพระพี่นาง คือ พระสุวรรณเทวี (พระสุพรรณกัลยา) และพระน้องยาเธอ คือ สมเด็จพระเอกาทศรถ พระองค์ทรงประทับ ณ พระราชวังจันทน์ ตั้งแต่เสด็จพระราชสมภพจนพระชันษาได้ 9 พรรษา พระเจ้าหงสาวดีได้ขอไปเป็นพระราชบุตรบุญธรรมและประทับอยู่ที่หงสาวดี 6 ปี
ตามประวัติผู้ที่สร้างพระราชวังจันทน์ คือ พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) แห่งราชวงศ์พระร่วง ของอาณาจักรสุโขทัย (ซึ่งเป็นสายสกุลเดียวกันกับพระบิดาของสมเด็จพระนเรศวร) พระองค์ทรงสร้างพระราชวังจันทร์บนเนินดินบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน ในระหว่างที่พระองค์ทรงครองเมืองพิษณุโลก ในปี พ.ศ.1905 - 1912 เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงย้ายราชธานีมาอยู่ที่เมืองพิษณุโลกใน พ.ศ.2006 ทรงใช้พระราชวังจันทร์เป็นที่ประทับตลอด นอกจากนี้เชื่อว่ามีการก่อสร้างเพิ่มเติมในสมัยพระองค์ด้วย จากนั้นพระราชวังจันทน์ก็มักจะเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราชของกรุงศรีอยุธยาในสมัยต่อๆ มาจนถึงสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ทรงให้สมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปประทับ จากนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดไปอยู่ที่พระราชวังจันทน์อีกเลย
2. วัดหน้าพระเมรุ จ.พระนครศรีอยุธยา
สถานที่ตั้งพลับพลาทำสัญญาสงบศึกกับพระเจ้าบุเรงนอง
วัดหน้าพระเมรุ จ.พระนครศรีอยุธยา ในอดีตพระมหาจักพรรดิ์ได้ทรงตั้งพลับพลาระหว่างวัดหน้าพระเมรุและวัดหัสดาวาสเป็นที่ทำสัญญาสงบศึกกัพระเจ้าบุเรงนอง หลังพระเจ้าบุเรงนองทูลขอช้างเผือก 2 ช้าง แต่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงมีพระบรมราชโองการไม่ประทานช้างเผือก พม่าจึงยกทัพรวมพลมาทำศึกและล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นาน ทางพระเจ้าบุเรงนองจึงมีพระราชสาสน์ว่าจะรบต่อไปหรือยอมเป็นไมตรี เนื่องด้วยทางไทยเสียเปรียบมาก พระมหาจักรพรรดิจึงทรงยอมเป็นไมตรี ทำให้ฝ่ายไทยต้องเสียช้างเผือกจาก 2 ช้าง เป็น 4 ช้าง และทุกปีต้องส่งช้างให้ 30 เชือก พร้อมเงิน 300 ชั่ง
3. แม่น้ำสะโตง ประเทศพม่า
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยิงพระแสงปืนข้ามลำน้ำสะโตงถูกแม่ทัพพม่าเสียชีวิตคาคอช้าง
แม่น้ำสะโตง หรือแม่น้ำซิตอง เป็นแม่น้ำในประเทศพม่ามีความยาว 420 กม. เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างเขตหงสาวดีกับรัฐมอญ แม่น้ำสะโตงเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่เมื่อถึงฤดูน้ำหลากความกว้างจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งอาจกว้างได้ถึง 3 กม. ซึ่งเมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จหลบหนีกองทัพพม่าของพระมหาอุปราชมังสามเกียด พระองค์ได้หลบหนีข้ามพ้นมาและได้แสดงวีรกรรมยิงพระแสงปืนข้ามลำน้ำสะโตง คือยิงปืนคาบศิลาจากอีกฝั่งของแม่น้ำถูกแม่ทัพพม่า ชื่อสุรกรรมา เสียชีวิตคาคอช้าง เมื่อปี พ.ศ. 2127 ซึ่งต่อมาพระแสงปืนกระบอกนี้ได้ถูกขนานนามว่า "พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง"
4. ด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี
ช่องเขาที่ใช้เดินทัพของทหารไทย-พม่า
ด่านเจดีย์สามองค์ เป็นช่องเขาในทิวเขาตะนาวศรี ตั้งอยู่บนพรมแดนประเทศไทยและประเทศพม่า มีความสูง 282 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ช่องเขาดังกล่าวเชื่อม อ.สังขละบุรี ทางตอนเหนือของ จ.กาญจนบุรี กับ อ.พะยาตองซู ทางตอนใต้ของรัฐกะเหรี่ยง ช่องเขานี้ได้เคยเป็นเส้นทางสัญจรทางบกเข้าสู่ทางตะวันตกของประเทศไทยมาตั้งแต่ครั้งอดีตกาล ซึ่งหลายครั้งเส้นทางนี้ก็ใช้เป็นทางเดินทัพของทั้งทหารไทยและพม่าในการเดินทางยกทัพ ซึ่งอาจถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายสมัยอยุธยาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ หรือการเดินทางที่ปลอดภัย
ในสมัยก่อนมีพระเจดีย์ที่ชาวบ้านเรียกว่า " หินสามกอง " ซึ่งเป็นที่สักการะก่อนออกเดินทางออกนอกประเทศและเวลากลับมาได้อย่างปลอดภัย ต่อมาในปี พ.ศ.2472 พระศรีสุวรรณคีรี เจ้าเมืองสังขละบุรีได้เป็นผู้นำชาวบ้านก่อสร้างเจดีย์ขนาดเล็กสามองค์ (ที่เห็นในปัจจุบัน) ไว้แทนที่ "หินสามกอง" ในอดีต
ส่วนทำไมต้องมีเจดีย์ 3 องค์ มีขอสันนิษฐานว่าเนื่องจากสมัยอดีตชาวบ้านผ่านมาบริเวณนี้ก็จะนำหินมากองไว้เพื่อสักการะเป็นสิริมงคลในการเดินทางเป็นสามกอง นานวันเข้ากองหินก็ได้มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปี พ.ศ.2472 ได้มีการสร้างเจดีย์ จึงสร้างตามจำนวนกองหินที่มีอยู่
5. คู่ค่ายพม่า จ.สิงห์บุรี
กองทัพพระยาเชียงใหม่ตั้งขึ้นเพื่อดักฆ่าทหารพม่า
หลังจากพระนเรศวรมหาราช ประกาศอิสรภาพ ณ เมืองแครง ได้ไม่นานก็ต้องเจอ 2 ศึกใหญ่เข้าตีเพื่อหมายมั่นให้ไทยตกเป็นเมืองขึ้นอีกครั้ง ด้านกองทัพพระยาเชียงใหม่ได้เดินทัพมาถึงชัยนาทโดยที่ไม่ทราบข่าวการพ่ายแพ้ของพระยาพสิม จึงส่งแม่ทัพและทหารจำนวนหนึ่งไปตั้งค่ายที่ปากน้ำบางพุทรา เพื่อใช้รบแบบกองโจรคอยดักฆ่าพม่าจนเสียขวัญถอยกลับไป ซึ่งปัจจุบันค่ายดังกล่าวกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนรู้จักกันในชื่อ "คู่ค่ายพม่า"
6. อนุสรณ์ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี
สถานที่ทำการยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรในปัจจุบัน
สำหรับสถานที่ยุทธหัตถียังไม่แน่ชัดระหว่าง ต.หนองสาหร่าย อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี กับ ต.ดอนเจดีย์ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี
ในปี พ.ศ.2135 พระเจ้านันทบุเรงโปรดให้พระมหาอุปราชานำกองทัพทหาร 240,000 คน มาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบว่าพม่าจะยกทัพใหญ่มาตีจึงทรงเตรียมไพร่พล มีกำลัง 100,000 คน เดินทางออกจากบ้านป่าโมกไปสุพรรณบุรี ข้ามน้ำตรงท่าท้าวอู่ทอง และตั้งค่ายหลวงบริเวณหนองสาหร่าย จ.สุพรรณบุรี
เช้าของวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ.2135 สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเครื่องพิชัยยุทธ สมเด็จพระนเรศวรทรงช้าง นามว่าเจ้าพระยาไชยานุภาพ ส่วนพระสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงช้างนามว่าเจ้าพระยาปราบไตรจักร ช้างทรงของทั้ง 2 พระองค์นั้นเป็นช้างชนะงา คือช้างมีงาที่ได้รับการฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาแล้วหรือเคยผ่านสงครามชนช้างชนะช้างตัวอื่นมาแล้ว
ในระหว่างการรบช้างทรงได้วิ่งไล่ตามพม่าหลงเข้าไปในแดนพม่า มีเพียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงค์บาทเท่านั้นที่ติดตามไปทัน สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงพระคชสารอยู่ในร่มไม้กับเหล่าท้าวพระยา จึงทราบได้ว่าช้างทรงของ 2 พระองค์หลงถลำเข้ามาถึงกลางกองทัพและตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแล้ว แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระนเรศวร ทรงเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบข้าศึกจึงไสช้างเข้าไปใกล้แล้วตรัสถามด้วยคุ้นเคยมาก่อนแต่วัยเยาว์ว่า
"พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว"
พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสช้างนามว่าพลายพัทธกอเข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงหลบทันจึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาเข้าที่อังสะขวาสิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง
เที่ยวเป็น Travel Intrend EP.10 | ตอน พระนครศรีอยุธยา | 7 ธ.ค. 63