ประวัติความเป็นมาของ "วันสตรีสากล"
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1857 กรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้า รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา อดรนทนไม่ไหวที่พวกเธอถูกกดขี่ข่มเหงจากเหล่านายจ้าง จึงตัดสินใจเดินประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิของพวกเธอคืน แต่เหตุหารณ์ในครั้งนั้นมีผู้หญิงถึง 119 คนที่ต้องสังเวยชีวิต ด้วยการถูกบอลวางเพลิงในบริเวณโรงงานที่พวกเธอนั่งประท้วง
ต่อมาในปี ค.ศ.1907 กรรมกรหญิงโรงงานทอผ้าที่เมืองชิคาโก พวกเธอถูกใช้งานเยี่ยงทาส ต้องงานถึงวันละ 16-17 ชั่วโมง โดนเอาเปรียบสารพัด ไม่มีวันหยุด ไม่มีประกัน และได้ค่าแรงอันน้อยนิด ทำให้ "คลาร่า เซทคิน" นักการเมืองหญิงสายแนวคิดสังคมนิยม ในขณะนั้นทนไม่ไหวออกมาปลุกระดมให้แรงงานหญิงนัดหยุดงาน ในวันที่ 8 มี.ค. 1907 เพื่อเรียกร้องให้ลดเวลาการทำงานเหลือเพียง 8 ชั่วโมง พร้อมทั้งปรับปรุงค่าจ้างสวัสดิการให้พวกเธอด้วย
แม้สุดท้ายการกระทำของ "คลาร่า เซทคิน" จะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่เป็นการจุดประกายให้สตรีทั่วโลกตระหนักถึงสิทธิของตัวเองมากขึ้น
จนกระทั่งในวันที่ 8 มี.ค. 1910 ทุกอย่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อมีตัวแทนสตรีจาก 17 ประเทศ เข้าร่วมประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยมครั้งที่ 2 ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เพื่อเรียกร้องให้มีระบบสาม 8 ประกอบด้วย ทำงาน 8 ชั่วโมง , ให้เวลาศึกษาหาความรู้ 8 ชั่วโมง และพักผ่อนอีก 8 ชั่วโมง นอกจากนี้ที่ประชุมยังรับรองข้อเสนอของ "คลารา เซทคิน" ที่เสนอให้วันที่ 8 มี.ค. ของทุกปี เป็นวัน “สตรีสากล”
นอกจากนี้ วันนี้ (8 มี.ค. 59) ที่ประเทศไทยมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มขบวนการผู้หญิงหลายกลุ่ม โดยกลุ่มสตรี 4 ภาคเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ยื่น 8 ข้อเสนอ ขณะที่กลุ่มขบวนการผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทยและกลุ่มบูรณการแรงงานสตรี รวมตัวกันที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยเรียกร้องบรรจุเรื่องสิทธิความเสมอภาคไว้ในรัฐธรรมนูญ อ่านต่อได้ที่นี่ คลิก>> http://www.pptvhd36.com/news/23815
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : th.wikipedia.org/wiki
ขอขอบคุณภาพจาก : www.internationalwomensday.com