ปัจจุบันการสักตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก เช่น การสักคิ้ว ริมฝีปาก หัวนม ผิวหนัง หรือเพื่อจารีตประเพณีทางศาสนา รวมไปถึงเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ เช่น สักเพื่อแก้ไขความผิดปกติของผิวหนัง หรือโรคผิวหนังบางชนิด เช่น แผลเป็นจากอุบัติเหตุ ผ่าตัด ไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก ผมร่วง โรคด่างขาว (Vitiligo) การสักเพื่อสร้างขอบปากหลังผ่าตัดปากแหว่ง หรือการทำหัวนมและลานหัวนมเทียม ภายหลังการผ่าตัดเต้านม
ภก.ประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และโฆษก อย. เปิดเผยว่า เนื่องจากขณะนี้อุปกรณ์สักเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ ตาม พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ปี 2551 ซึ่งผู้นำเข้าต้องจดทะเบียนสถานประกอบการนำเข้า ตามมาตรา 15 และปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 34) พ.ศ. 2549 เรื่อง กำหนดเครื่องมือแพทย์ที่ห้ามนำเข้าหรือขาย การเลือกใช้บริการที่เกี่ยวกับการสักทางการแพทย์ โดยสถานที่ดังกล่าวต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล รวมถึงมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการรักษา แต่สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้สักเพื่อความสวยงาม หรือเพื่อจารีตประเพณีทางศาสนานั้น ไม่เข้าข่ายเป็นเครื่องมือแพทย์ เนื่องจากไม่ถือเป็นการประกอบวิชาชีพเวชกรรม
ฉะนั้น ผู้บริโภคควรตระหนักในเรื่องสถานที่ต้องมีความสะอาด อยู่ในสถานที่ที่เปิดเผยและมีสถานที่ตั้งเป็นหลักเป็นแหล่งแน่นอน อุปกรณ์ที่ใช้ในการสัก อาทิ เครื่องสัก เข็มสำหรับสัก ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากเชื้อหรือมีการล้างทำความสะอาด ฆ่าเชื้ออุปกรณ์ก่อนนำมาสัก สีที่ใช้ในการสักควรแยกสำหรับลูกค้าแต่ละราย ไม่ควรใช้ร่วมกันเพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ นอกจากนี้ ผู้ที่ทำการสักจะต้องได้รับการอบรมเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการสัก ข้อห้ามใช้ ข้อควรระวังและต้องมีความรู้สามารถสื่อสารให้ผู้รับการสัก ทราบถึงการปฏิบัติการดูแลรักษาแผลภายหลังการสัก
ส่วนผู้ที่รับการสักควรศึกษาถึงผลเสีย และอาการข้างเคียงจากการสัก และการลบรอยสัก เช่น แผลเป็น อาการบวม คัน อาการแพ้สีที่ใช้ในการสัก เนื่องจากปฏิกิริยาการตอบสนองต่อสี ที่ใช้ในการสักในแต่ละคนไม่เหมือนกัน รวมไปถึงอาการแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อเอชไอวี และไวรัสตับอักเสบ เป็นต้น รวมถึงต้องมีอายุที่เหมาะสม ทั้งนี้ ผู้ที่คิดจะสักควรพิจารณาให้รอบคอบ เพราะหากต้องการลบรอยสักจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง และไม่สามารถลบรอยสักออกได้หมด
