วันนี้(30 ก.ค.61) หนึ่งในตัวอย่าง พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการ จเรตำรวจ หยิบยกขึ้นมาเพื่อยืนยันว่า การทำสำนวนคดีแทงนายธนิต ทัฬหสุนธร หรือ เต้ ในชั้นพนักงานสอบสวนไม่ได้บกพร่องเฉพาะข้อมูลฝั่งของนายเต้ และข้อมูลฝั่งของ นายณัฐพงษ์ เงินคีรี หรือโจ้ ผู้ถูกกล่าวหาก็ไม่ครบถ้วนเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะข้อมูลที่นางสาวหมู แฟนของนายโจ้ ระบุว่า ในวันเกิดเหตุนายอาร์รีย์ชัย บุดดาวงศ์ หรือ เบนซ์ หนึ่งในจำเลยคดีนี้วิ่งเข้ามาหาด้วยมือที่เปื้อนเลือดพร้อมระบุว่าเป็นคนแทงนายเต้เอง
ข้อมูลนี้สอดคล้องกับข้อมูลของนางสาวธนพร ศิริบานเย็น ทนายความที่รับดูแลคดีให้กับครอบครัวนายเต้ ที่ระบุว่า ในชั้นพนักงานสอบสวน ตำรวจไม่ได้เรียกนางสาวหมูมาสอบปากคำ แต่ข้อมูลดังกล่าวถูกพูดถึงในชั้นศาล ซึ่งเข้าใจว่า นางสาวหมูพยายามแก้ต่างให้นายโจ้
การรวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้ อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ มองว่ามีโอกาสสูงที่จะขัดกับหลักการเพราะยังมีพยานบุคคลและหลักฐานอีกจำนวนไม่น้อยไม่ถูกพูดถึงในสำนวนคดี ซึ่งนี่ทำให้สำนวนคดีอ่อนนำไปสู่การยกฟ้องคดีนี้
ส่วนคำแนะนำเรื่องการยื่นขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาหลักฐานอื่นๆเพิ่มเติม อดีตรองผู้บังคับการ จเรตำรวจ มองว่า ส่วนใหญ่ศาลจะรับพิจารณาเฉพาะหลักฐานที่บ่งชี้ตามข้อหา ในกรณีนี้หมายความถึงหลักฐานที่ระบุได้ว่านายโจ้เป็นผู้ฆ่านายเต้โดยเจตนา ส่วนหลักฐานหรือพยานแวดล้อมที่เป็นรายละเอียดของบุคคลอื่นๆ เช่น มีผู้รุมทำร้ายนายเต้อีก 4 คน ที่ยังไม่ถูกระบุในสำนวนตามปกติศาลมักจะไม่นำมารวมกัน เพราะ คดีนี้เป็นคดีที่กล่าวหานายโจ้
ขณะที่การตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบรายละเอียดคดีนี้ ซึ่งมีพล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นประธาน อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ ระบุว่า สุดท้ายข้อมูลทั้งหมดจะต้องส่งให้อัยการ เพื่อยื่นขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาว่าจะรับหลักฐานดังกล่าวไว้พิจารณาหรือไม่ เนื่องจากตอนนี้คดีความอยู่ในชั้นศาลอำนาจการพิจารณาทั้งหมด ตำรวจไม่สามารถดำเนินการใดๆได้